money expo 2025: KYC กับ eKYC ต่างกันอย่างไร จะเปิดบัญชีเงินฝากดิจิทัลต้องรู้!การยืนยันตัวตนโดยเฉพาะการทำธุรกรรมทางเงินเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ซึ่งทุกธนาคารจะใช้เทคโนโลยี KYC และ eKYC เข้ามาช่วยในการตรวจสอบและรู้จักลูกค้าอย่างละเอียด นอกจากการทำบัตรเครดิตแบบการ์ดและทำบัตรเครดิตแบบดิจิทัล การโอนเงินหรือเปิดบัญชีเงินฝากแบบดิจิทัล ก็จำเป็นต้องผ่านการยืนยันตัวตนแบบ KYC หรือ eKYC เช่นกันนะคะ ลองไปทำความรู้จักการยืนยันตัวทั้ง 2 แบบนี้ให้มากขึ้นค่ะ ว่าจำเป็นต่อการทำธุรกรรมในโลกออนไลน์มากน้อยแค่ไหน
KYC คืออะไร
KYC ย่อมาจาก Know Your Customer เป็นกระบวนการที่องค์กรหรือธนาคารใช้ตรวจสอบและรู้จักลูกค้าอย่างละเอียดผ่านเอกสารข้อมูลต่าง ๆ เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวตน และกิจกรรมทางการเงินของลูกค้า ซึ่งถือเป็นหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
การยืนยันตัวตนผ่าน KYC มีกี่แบบ
แบ่งประเภทการทำ KYC ได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. ยืนยันตัวตน KYC แบบ Online (eKYC)
วิธีนี้เราสามารถทำเองได้โดยไม่ต้องไปถึงธนาคาร ดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้เลย แต่มักจะต้องให้ข้อมูลด้านชีวมิติ (Biometric) เช่น ถ่ายรูปใบหน้า
2. ยืนยันตัวตน KYC แบบ Face to Face
วิธีนี้ต้องไปแสดงตนกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อให้ตรวจสอบบัตรประชาชนผ่านเครื่อง Smart Card Reader
eKYC คืออะไร
คือการยืนยันตัวตนส่วนหนึ่งของ KYC ย่อมาจากคำว่า Electronic Know Your Customer เป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการยืนยันและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและตัวตนของลูกค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
การยืนยันตัวตนผ่าน eKYC มีกี่วิธี?
1. Biometric Authentication
การพิสูจน์ตัวตนโดยอาศัยข้อมูลทางชีวมิติ (Biometric) เช่น ลายนิ้วมือ, ใบหน้า เป็นต้น ที่พบเห็นกันได้บ่อย ๆ ก็อาจเป็นการเข้าแอปฯ Mobile Banking ผ่านการสแกนลายนิ้วมือ
2. Optical Character Recognition (OCR) OCR
ระบบที่มีความสามารถในการอ่านข้อความจากเอกสาร ไฟล์ PDF, บัตรประชาชน หรือลายมือบนเอกสาร และแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล เพื่อทำการ Auto Fill In จากนั้นก็นำข้อมูลไปประมวลผลและยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการ
3. National Digital ID (NDID) NDID
แพลตฟอร์มในการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล ซึ่งวิธีนี้ลูกค้าสามารถที่กรอกข้อมูล, ถ่ายรูปบัตรประชาชน ผ่านสมาร์ทโฟนได้เลย
ข้อดีของการยืนยันตัวตนผ่าน KYC และ eKYC
1. ช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินง่ายขึ้น ผ่านการจดจำอัตลักษณ์บุคคล เช่น ใบหน้า, ลายนิ้วมือ
2. มี ID เฉพาะบุคคล ทำให้ปลอมแปลงได้ยาก
3. ช่วยป้องกันการก่ออาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งการยืนยันตัวตนของ KYC สามารถป้องกันการปลอมแปลงตัวตนได้
4. เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ช่วยปกป้องข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบัตรเครดิตไปจนถึงข้อมูลบัตรประชาชน ไม่ให้หลุดรอดโดยง่าย
5. เป็นการยกระดับนวัตกรรมการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับในยุค Cashless Society
ต้องบอกว่า KYC และ eKYC มีความจำเป็นไม่น้อยเลยในยุคเทคโนโลยีแบบนี้นะคะ เพราะทุก ๆ เทคโนโลยีมักจะแอบมีช่องโหว่ให้มิจฉาชีพเข้าถึง การยืนยันตัวจะเป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของทุกสถาบันการเงิน เพื่อให้ทุกการทำธุรกรรมทางเงินปลอดภัยมากที่สุดนะคะ