แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 45
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
รีวิวแท็บเล็ต HUAWEI MatePad Pro 11-inch กับ 5 เหตุผล ที่ทำให้เป็นแท็บเล็ตระดับมือโปรที่น่าจับตาที่สุดในเวลานี้

HUAWEI MatePad Pro 11-inch แท็บเล็ตหน้า จอ OLED 120Hz จัดเต็มประสิทธิภาพการสร้างสรรค์ระดับโปร ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อการทำงานแบบมืออาชีพสำหรับนักธุรกิจ ผู้บริหาร คอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรือแม้แต่นิสิตนักศึกษาที่ชื่นชอบประสบการณ์เหนือระดับใช้งานแบบ Smart Office พร้อมทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ ด้วย 5 คุณสมบัติเด่นที่เหนือชั้นและครบครันยิ่งกว่าที่เคย มาติดตามไปพร้อมกันว่า HUAWEI MatePad Pro 11-inch หนึ่งในไอเท็มที่ฮ็อตฮิตติดลมบนที่สุด ณ เวลานี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
 
1. หน้าจอใหญ่ขนาด 11 นิ้ว เผยภาพสวยโดดเด่น คมชัดแม้อยู่ในที่มืด
 
เปิดโลกใบใหม่ที่ใหญ่และสวยกว่าเดิมผ่านหน้าจอ HUAWEI FullView Display แบบ OLED ขนาด 11 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซล แสดงสีบนหน้าจอได้ถึง 1.07 พันล้านสีและมีค่าความแม่นยำของสี △E <11 ถ่ายทอดรายละเอียดได้สมจริงในทุกมิติ แม้ในที่แสงน้อยและเต็มตาสุดๆ กับขอบจอบางเฉียบเพียง 4.2 มิลลิเมตร ให้อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่กว้างขึ้นถึง 92% พร้อมการแสดงผลอย่างลื่นไหลสูงสุดถึง 120 เฟรมต่อวินาที ช่วยให้การจดบันทึกและวาดเส้นด้วยปากกาเป็นไปอย่างสมูธ อ่าน E-Book หรือข้อความขณะท่องเว็บก็ราบรื่น ทั้งยังเป็นแท็บเล็ตของหัวเว่ยรุ่นแรกที่ได้รับการรับรอง Full Care Display 3.0 ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองที่ครอบคลุมที่สุดของ TÜV Rheinland การันตีลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาในระดับฮาร์ดแวร์ สามารถปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ได้ที่ความถี่สูง 1440 Hz เพื่อให้มองจอได้อย่างสบายตาในที่แสงน้อย เสริมเทคโนโลยีการแสดงผลที่ปรับสมดุลโทนสีให้เข้ากับแสงธรรมชาติทั้งโทนเย็นและโทนอุ่น ยกระดับประสิทธิภาพการมองเห็นในสภาพแวดล้อมแสงที่แตกต่างกันได้
1Delta E คือ หน่วยชี้วัดมาตรฐานค่าความต่างหรือผิดเพื้ยนของสี (จากสายตาคนเรา) โดยอ้างอิงความถูกต้องของสีจาก CIELAB หรือ L*a*b. Delta E จะถูกใช้เพื่อรับรองว่าการแสดงผลของสีที่แสดงผลออกมาจะใกล้เคียงกับการรับสีด้วยตาของมนุษย์ และยังเป็นค่าความแตกต่างระหว่างจุดสีสองจุดที่กำหนดไว้ในปริภูมิสี CIELAB
 
2. ใช้งานคล่องตัวไม่มีสะดุดกับฟีเจอร์สุดชิคและกิมมิคใหม่ๆ พร้อมสัมผัสประสบการณ์เสมือนพีซีระดับโปร (PC-Like Pro)

เมื่อใช้งานคู่กับ HUAWEI M-Pencil 2nd generation ก็สามารถจดบันทึกทุกไอเดียและสิ่งที่สำคัญ ขีดเขียน หรือลากย้ายสิ่งต่างๆ บนหน้าจอ ตลอดจนเนรมิตชิ้นงานเก๋ๆ บน HUAWEI MatePad Pro 11-inch ได้อย่างงายดาย เริ่มกันที่ Notes แอปพลิเคชันจดบันทึกใหม่ที่รองรับได้หลากหลายรูปแบบและมีโครงสร้างบันทึกแบบย่อที่มีประสิทธิภาพให้เลือกมากมาย ตามมาด้วยการเขียนด้วยลายมือที่สามารถแปลงเป็นข้อความได้อัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดวางการบันทึกให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นพร้อมลูกเล่นที่โดดเด่นอย่างฟังก์ชันพิเศษ Cross-app colour capture2 โดยใช้ Eye dropper ดูดสีของภาพถ่ายหรือหน้าเว็บที่ต้องการผ่านการใช้งาน Multi-Window หรือ Multi-screen Collaboration กับสมาร์ทโฟนของหัวเว่ย ร่วมด้วย IbisPaint X แอปพลิเคชันยอดนิยมสำหรับการวาดภาพที่มาพร้อมฟังก์ชันมากมาย ทั้งแปรงลงสีกว่า 12,000 แบบ ฟอนต์ต่างๆ กว่า 1,000 ฟอนต์ ฟิลเตอร์ 80 แบบ และโหมดป้องกันการสั่นไหวขณะวาดเส้น (stroke stabilization feature) เป็นต้น สามารถดาวน์โหลดมารังสรรค์ผลงานเก๋ๆ ได้ผ่าน AppGallery และยังมีฟีเจอร์ Annotate ให้ผู้ใช้งานสัมผัสประสบการณ์การจดบันทึก ขีดเขียนและวาดที่สมจริง โดยผู้ใช้จะสามารถจดบันทึกเพิ่มเติมบนเอกสารได้เลย เรียกได้ว่าโปรดักทีฟมากขึ้นและตอบโจทย์ทุกการทำงานด้านดีไซน์และสร้างสรรค์ผลงานที่เน้นความแม่นยำของสีได้อย่างลงตัว
 
ต่อยอดความอัจฉริยะขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นแล็ปท็อปขนาดกะทัดรัดเพียงจับคู่ HUAWEI MatePad Pro 11-inch กับ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ก็พร้อมสัมผัสประสบการณ์การใช้งานพีซีระดับโปร (PC-Like Pro) ประเดิมด้วยความสะดวกสบายในการพิมพ์งานกับระยะกดบนแป้น 1.5 มิลลิเมตร แถมยังยกระดับความคล่องตัวขึ้นไปอีกระดับเพราะสามารถใส่และถอดได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังปรับให้เข้ากับอิริยาบถการใช้งานได้ถึง 3 โหมด ไม่ว่าจะเป็น Laptop mode สำหรับการใช้งานเสมือนโน้ตบุ๊ก Split mode แยกตัวคีย์บอร์ดออกจากฐานเพื่อปรับระยะการมองจอได้อิสระ และ Studio mode เหมาะกับการวาดเขียนและสร้างงาน 3 มิติได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีช่องเก็บ HUAWEI M-Pencil 2nd generation บริเวณด้านหลัง ขณะที่เสาอากาศซึ่งซ่อนอยู่ภายในตัวคีย์บอร์ดจะช่วยทำให้ HUAWEI MatePad Pro 11-inch รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
2ฟีเจอร์การดูดสีจากภาพถ่ายหรือหน้าจอหรือใช้ดูดสีข้ามแอปพลิเคชัน รองรับเฉพาะ HUAWEI Notes และ Mojing Paint
 
3. HarmonyOS 3 กับการอัปเกรดฟีเจอร์ให้ล้ำสมัยพร้อมเชื่อมต่อทุกดีไวซ์เพื่อการทำงานที่โปรดักทีฟที่สุด
 
โชว์การทำงานเหนือชั้นกว่าใครบน HUAWEI MatePad Pro 11-inch สำหรับแอปพลิเคชัน WPS Office ที่สามารถใช้ฟังก์ชัน App Multiplier เพื่อเปิดพร้อมกันแบบสองหน้าต่าง3 และฟีเจอร์ Multi-Window สามารถเก็บหน้าต่างลอยได้สูงสุดถึง 10 หน้าต่างและสามารถเปิด 4 แอปพลิเคชั่นพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน ช่วยให้การจัดระเบียบการใช้งานและสื่อสารได้อย่างเป็นระบบทั้งยังทำงานหลายหน้าจอไปพร้อมกันได้สะดวกและง่ายดายมากยิ่งขึ้น พร้อมลูกเล่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเลื่อนไปที่มุมซ้ายบนเพื่อแบ่งหน้าจอ การเลื่อนไปที่มุมขวาบนเพื่อเปิดหน้าต่างลอย การปัดขึ้นเพื่อเข้าสู่โหมดเต็มหน้าจอ การปัดเข้าด้านในเพื่อเปลี่ยนเป็น App Bubble และปัดลงเพื่อออก นอกจากนี้ยังสร้างสรรค์เลย์เอาต์หน้าจอหลักใหม่ทั้งหมดได้ตามสไตล์การใช้งานเพียงปลายนิ้วสัมผัส รวบแอปฯ ที่ใช้งานบ่อยๆ ไว้บนพื้นที่ที่เรียกใช้งานง่าย ลากแอปที่กระจัดกระจายมากรุ๊ปให้เป็นระเบียบ และยังสามารถแยกแอปตามสีไอคอนหรือประเภทการใช้งานได้อีกด้วย
 

Multi-Window
 
พ่วงด้วยความสามารถในการประสานการทำงานระหว่างอุปกรณ์ด้วยการเปิดใช้งาน Super Device4 เพื่อการทำงานภายในอีโคซิสเต็มของหัวเว่ยอย่างไร้รอยต่อ ด้านแบตเตอรี่มีขนาด 8300 mAh หมดกังวลหากต้องใช้งานตลอดวัน และสามารถเล่นวิดีโอ 1080 P ได้ต่อเนื่องถึง 11.5 ชั่วโมง5 แถมยังชาร์จไวด้วย 66W HUAWEI SuperCharge ในรุ่น LTE และ 40W HUAWEI SuperCharge ในรุ่น WIFI6 อีกด้วย
3สำหรับแอปฯ WPS Office และแอปฯ ชอปปิ้ง
4เฉพาะสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป จอมอนิเตอร์ Vision ชุดหูฟัง และแท็บเล็ตของ HUAWEI บางรุ่นที่ใช้ HarmonyOS 3 หรือใหม่กว่าเท่านั้นที่รองรับฟังก์ชันนี้ หากคุณมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับฟีเจอร์นี้ โปรดติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าสัมพันธ์ของ HUAWEI
5ความจุของแบตเตอรี่เป็นค่าปกติ ข้อมูลมาจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการของ HUAWEI โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอไว้ที่ 200 นิต เมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้วสามารถเล่นวิดีโอ 1080 P ได้นานถึง 11.5 ชั่วโมงต่อเนื่อง การใช้งานจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ เวอร์ชันซอฟต์แวร์ เงื่อนไขการใช้งาน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
6สายชาร์จวางจำหน่ายแยก
 
4. ออกแบบอย่างพิถีพิถัน พกพาสะดวกและสามารถถือได้ด้วยมือข้างเดียว

ว้าวกันแบบต่อเนื่องกับความบางของตัวเครื่อง HUAWEI MatePad Pro 11-inch เพียง 5.9 มิลลิเมตร ขณะที่น้ำหนักของรุ่น Wifi เบาเพียง 449 กรัม7 บอกเลยว่าเบาที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตขนาด 11 นิ้วรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน8 แต่แฝงความแข็งแรงทนทานในขนาดกะทัดรัดถนัดมือ ที่สำคัญคือพิถีพิถันทุกกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการ Colour coagulation layer ซึ่งช่วยให้ชั้นสีเมทัลลิกดูมีมิติของแสงและเงาที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น และ Frosted sand layer เพิ่มความทนทาน กันรอยนิ้วมือ และทำให้มองเห็นรอยขีดข่วนได้ยากขึ้น เสริมด้วยการเคลือบผิวสัมผัสแบบด้านด้วยโลหะเนื้อละเอียด ปรับมุมโค้งมนให้ความรู้สึกหรูหรา พร้อมเสริมลุคให้สมาร์ทและเสริมสร้างความมั่นใจทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาใช้งาน
7HUAWEI MatePad Pro 11-inch รุ่น Wifi น้ำหนัก 449 กรัม และรุ่น LTE น้ำหนัก 455 กรัม
8ข้อมูลมาจากห้องปฏิบัติการของ HUAWEI รุ่น GOT-W29 มีน้ำหนักประมาณ 449 กรัม (รวมแบตเตอรี่) รุ่น GOT-AL09 มีน้ำหนักประมาณ 455 กรัม (รวมแบตเตอรี่) น้ำหนักและความหนาจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และวิธีการวัด
 
5. แท็บเล็ตเครื่องแรกของหัวเว่ยที่มาพร้อม HUAWEI SOUND
 
สัมผัสพลังเสียงเต็มอิ่มโสตประสาทจาก HUAWEI MatePad Pro 11-inch ซึ่งเป็นแท็บเล็ตโมเดลแรกจากหัวเว่ยที่มาพร้อมเทคโนโลยี HUAWEI SOUND ตัวช่วยยกระดับประสบการณ์สุดมหัศจรรย์ที่ทำงานคู่กับลำโพงที่ให้มาถึง 6 ตัวซึ่งปรับแต่งคุณภาพได้หลากหลายระดับและสร้างบาลานซ์ให้กับเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมทั้งจัดเก็บรายละเอียดทุกจังหวะดนตรีและตัวโน็ตได้อย่างไร้ที่ติ ไม่เพียงเท่านั้น คุณภาพเสียงที่ถ่ายทอดผ่าน HUAWEI MatePad Pro 11-inch ยังแบ่งความถี่สูงและต่ำได้อย่างชัดเจนและมีความสมจริง ผสานเสียงเบสหนักแน่นทรงพลังเข้ากับระบบเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง เปลี่ยนพื้นที่ส่วนตัวให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์สุดหรูขนาดย่อมได้สบายๆ
 
ราคาดีแถมมีข้อเสนอคุ้มค่าช่วงพรีออเดอร์ พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมทดสอบฝีมือ

HUAWEI MatePad Pro 11-inch มาในสี Golden Black โดยรุ่น WIFI (8 GB+128GB) ราคา 24,990 บาท และรุ่น LTE (8GB+256GB) ราคา 29,990 บาท เปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2565 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2565 รับฟรี! HUAWEI Smart Magnetic Keyboard, HUAWEI M-pencil 2nd generation และสิทธิประโยชน์มากมายจาก HUAWEI AppGallery อาทิ บริการ HUAWEI Cloud ฟรี 3 เดือน บริการ HUAWEI Music ฟรี 3 เดือน บริการ HUAWEI Video ฟรี 1 เดือน และใช้งาน WPS Office ฟรี 3 เดือน เป็นต้น รวมมูลค่าของสมนาคุณ 12,282 บาท สั่งจองได้แล้วที่หน้าร้าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ รวมถึงช่องทางออนไลน์ HUAWEI Store และร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบน Shopee, Lazada และ JD Central
 
พิเศษยิ่งกว่า หัวเว่ย ยังจัดกิจกรรม Color Your Dream กับ HUAWEI MatePad Pro 11-inch ณ HUAWEI Experience Store สาขา สยามพารากอน ในวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2565 และวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 รอบเวลา 13.00 น. และ 16.00 น. เปิดโอกาสให้ลูกค้าที่สนใจได้สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำกับการวาดรูปภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกด้วย HUAWEI MatePad Pro 11-inch ภายในเวลา 5 นาที โดยมีน้องๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากรมาช่วยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด จากนั้นลงทะเบียน HUAWEI ID และล็อกอินผ่าน HUAWEI Community หรือแอปพลิเคชัน My HUAWEI เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม แล้วถ่ายรูปตัวเองคู่กับผลงานที่วาดบนแท็บเล็ต
 
โดยผลงานที่ได้ยอดไลก์สูงสุด 10 อันดับแรกภายในช่วงเวลาการจัดกิจกรรมจะได้รับ HUAWEI Watch GT2 Pro (สำหรับ 3 อันดับแรก คนละ 1 ชิ้น) และ HUAWEI Freelace (สำหรับอันดับที่ 4 – 10 คนละ 1 ชิ้น) รวมมูลค่าของรางวัล 44,400 บาท ประกาศผลทาง HUAWEI Community เวลา 18.00 น. ในวันที่ 29 สิงหาคม 2565 โดยหัวเว่ยยังเตรียมของขวัญสุดพิเศษมูลค่า 1,290 บาทมอบให้กับผู้ร่วมกิจกรรมทุกท่าน (ท่านละ 1 ชิ้น) นอกจากนั้น ลูกค้าที่ซื้อสินค้าภายในร้าน HUAWEI Experience Store สาขาสยามพารากอน ยังจะได้รับภาพบุคคลที่วาดโดยน้องๆ มหาวิทยาศิลปากรเป็นของที่ระลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไขกิจกรรมได้ที่นี่
 
ติดตามอัปเดตข่าวสารล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEI Mobile TH สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อสินค้า คอมมิวนิตี้ และบริการ ง่ายๆ ในคลิกเดียว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My HUAWEI ใน AppGallery

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
ปล่อยรถป้ายแดง MAZDA CX-5 2.0 SP ปี 2024 รับส่วนลดเพิ่ม 20,000 บาท

มาสด้า Mazda CX-5 2.0 SP ปี 2024
Mazda CX-5 2.0 SP รถยนต์ครอสโอเวอร์เอสยูวียอดนิยมของมาสด้า ที่ได้รับการพัฒนาให้ครบครันสมบูรณ์แบบขึ้นในทุกด้าน เพื่อตอบโจทย์ของครอบครัวยุคใหม่ ดูหรูหรา สปอร์ต โฉบเฉี่ยว ยิ่งกว่าเดิม ด้วยดีไซน์ภายนอกใหม่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย รองรับการเชื่อมต่อเพิ่มเติมมาตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ผนวกกับสมรรถนะจากเครื่องยนต์ Skyactiv-G 2.0 ลิตร ให้กำลัง 165 แรงม้า แรงบิด 210 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง 13.9 กิโลเมตร/ลิตร โดยราคาเริ่มต้นประมาณ 1,250,000-1,350,000 บาท

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 19 มี.ค. - 19 มี.ค. 2568
พิเศษสำหรับลูกค้า Checkraka รับส่วนลดเพิ่ม 20,000 บาท
โปรโมชั่นพิเศษ ดาวน์ 25% ขึ้นรับดอกเบี้ยพิเศษ 1.75% 4 ปี

ราคาพิเศษ 1,169,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                        SKYACTIV-G 2.0 DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ Dual S-VT
ขนาดเครื่องยนต์ (CC)          1,998 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)       165 แรงม้า
ระบบเกียร์                          เกียร์ออโต้ 6AT
รูปแบบเกียร์                       SkyActiv-Drive พร้อมแมนนวลโหมด Activematic
ระบบเบรค ABS                  มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง           เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91,เบนซิน E20,เบนซิน E85
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)            N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน                    Electronic Direct Injection
น้ำหนักตัวรถ                          -
ประเภทยางรถยนต์                   -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                    ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                   ขับเคลื่อนล้อหน้า


5
ตรวจอาการด้วยตนเอง: หวัดภูมิแพ้ (Allergic rhinitis)

หวัดภูมิแพ้,ไข้ละอองฟาง,โรคภูมิแพ้,เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้,จมูกอักเสบจากภูมิแพ้,หวัดจากการแพ้,หวัดแพ้อากาศ,โรคแพ้อากาศ}

หวัดภูมิแพ้ (เยื่อจมูกอักเสบเหตุภูมิแพ้ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หวัดจากการแพ้ หวัดแพ้อากาศ โรคแพ้อากาศ ก็เรียก) หมายถึงเยื่อจมูกอักเสบที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกาย จัดเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง* ซึ่งพบได้ในคนทุกวัย มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นหรือวัยเรียน พบได้ประมาณร้อยละ 10-25 ของคนทั่วไป จากการศึกษาในบ้านเราพบโรคนี้ในเด็กวัยเรียนประมาณร้อยละ 20-40

ผู้ป่วยมักมีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว (เช่น หืด ลมพิษ ผื่นคัน หวัดภูมิแพ้) และมักมีโรคภูมิแพ้อื่น ๆ (ที่สำคัญ คือ โรคหืด) ร่วมด้วย

โรคนี้มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี น่ารำคาญ อาจมีอาการกำเริบเป็นบางฤดูกาลหรืออาจเป็นประจำตลอดทั้งปี ทั้งนี้ขึ้นกับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุ

ถ้าเกิดจากละอองเกสร หญ้า หรือวัชพืช เรียกว่า ไข้ละอองฟาง (hay fever)

*โรคภูมิแพ้ (allergic disorders) เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ (allergen) แล้วปล่อยสารเคมี เช่น ฮิสตามีน (histamine) ไคเมส (chymase) พรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ไซโตไคน์ (cytokine) ลิวโคทรีน (leukotriene) แบรดิไคนิน (bradykinin) เป็นต้น ออกมา ถ้าสารเหล่านี้มาแสดงปฏิกิริยาที่ผิวหนังก็ทำให้เป็นโรคแพ้ทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นต้น ถ้าแสดงออกที่ตาก็กลายเป็นโรคเยื่อตาขาวอักเสบ ถ้าแสดงออกที่จมูกก็กลายเป็นหวัดภูมิแพ้ ถ้าแสดงออกที่หลอดลมก็กลายเป็นหืด

โรคภูมิแพ้มักมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ คือ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้อยู่ด้วย นอกจากนี้ ความเครียดทางจิตใจก็มีส่วนกระตุ้นให้อาการกำเริบได้

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อาจแสดงออกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กันก็ได้ ในรายที่เกิดจากการแพ้อาหารอาจมีอาการปวดท้องท้องเดินร่วมด้วยได้ (ดูโรคลมพิษ)

สารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน (dust mites) เชื้อรา ละอองเกสร หญ้า วัชพืช สัตว์เลี้ยงในบ้าน (โดยเฉพาะแมว) อาหาร (เช่น นม ไข่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ถั่วลิสง สารกันบูด สีผสมอาหาร) ยา (แอสไพริน เพนิซิลลิน ซัลฟา ยาชา) ฝุ่นละออง ความเย็น ความร้อน แดด เชื้อแบคทีเรีย พยาธิ แมลง แมลงสาบ สารเคมี แอลกอฮอล์ เป็นต้น

ผู้ป่วยมักจะแพ้สารได้หลาย ๆ อย่าง และมีโอกาสแพ้ยาได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ จึงควรระมัดระวังในการใช้ยาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้

การแพ้อาจเกิดขึ้นโดยการสัมผัส สูดดม กิน หรือฉีดเข้าร่างกายทางใดทางหนึ่ง

โรคภูมิแพ้ทุกชนิดรวมกันแล้ว พบได้ประมาณร้อยละ 30 ของคนทั่วไป


สาเหตุ

เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เป็นผลให้มีการหลั่งสารเคมีหลายชนิดออกมาทำให้เกิดอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ ละอองเกสร หญ้า วัชพืช สปอร์ของเชื้อราที่อยู่นอกบ้าน ทำให้เกิดอาการกำเริบในบางฤดูกาล ส่วนผู้ที่มีอาการตลอดปีมักเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน เช่น ไรฝุ่นบ้าน แมลงสาบ สัตว์เลี้ยง ฝุ่นละออง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการแพ้อาหาร (เช่น อาหารทะเล) ซึ่งมักจะพบร่วมกับโรคภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น หืด ลมพิษ ผื่นคัน

ผู้ที่เป็นโรคหวัดภูมิแพ้ มักมีการตอบสนองไวเกินต่อสิ่งกระตุ้น (สิ่งระคายเคือง) เช่น กลิ่นฉุน ๆ บุหรี่ ควัน อาหารเผ็ด แอลกอฮอล์ อากาศเปลี่ยน ความชื้น ทั้งนี้โดยไม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบสัมผัสสารก่อภูมิแพ้


อาการ

มีอาการเป็นหวัด คัดจมูก จามบ่อย น้ำมูกมีลักษณะใส ๆ มักมีอาการคันในจมูก คันคอ คันตา น้ำตาไหล เจ็บคอ แสบคอ หรือไอแห้ง ๆ (แบบระคายคอ) ร่วมด้วย

บางรายอาจมีอาการปวดตื้อตรงบริเวณหน้าผากหรือหัวคิ้ว หรือปวดศีรษะ หูอื้อ หรือมีเสียงดังในหู (เนื่องจากท่อยูสเตเชียนตีบ) การรับรู้กลิ่นน้อยลง หรือหายใจมีกลิ่นเหม็น

อาการมักเกิดเวลาถูกอากาศเย็น ควัน ฝุ่นละออง สารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ

บางรายอาจมีอาการตอนช่วงเช้า ๆ พอสาย ๆ ก็ทุเลาไปได้เอง

ในรายที่เป็นมากอาจมีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ

บางรายอาจมีอาการของโรคหืดร่วมด้วย หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือรู้สึกแน่นอึดอัดในหน้าอก


ภาวะแทรกซ้อน

โดยทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง 

ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจทำให้อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การเรียน การทำงาน

บางรายอาจเป็นโรคหืดร่วมด้วย

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจกลายเป็นไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือติ่งเนื้อเมือกจมูก

เด็กบางรายอาจมีอาการนอนกรน และเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบเยื่อจมูกบวมและซีด หรือเป็นสีม่วงอ่อน ๆ ต่างจากไข้หวัด หรือไซนัสอักเสบ ซึ่งเยื่อจมูกจะมีลักษณะบวมและออกสีแดง มักพบน้ำมูกลักษณะใส ๆ (ถ้าน้ำมูกมีสีเหลืองหรือเขียว แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม หรือเป็นไซนัสอักเสบ)

บางรายอาจพบเยื่อตาขาวออกแดงเล็กน้อย

ในเด็กที่มีอาการคันจมูก จะยกมือขึ้นขยี้จมูกบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดรอยย่นที่สันจมูก (เรียกว่า allergic nasal line)

อาจพบผิวหนังบริเวณขอบตาล่างบวมและมีสีคล้ำ (เรียกว่า allergic shiners)

บางรายอาจพบติ่งเนื้อเมือกจมูก ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงวี้ด (wheezing)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การใช้กล้องส่องตรวจภายในโพรงจมูก (nasal endoscopy), การตรวจอีโอซิโนฟิลในเลือด (พบมากกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) หรือในเสมหะ (พบมากกว่าร้อยละ 30), การทดสอบผิวหนัง (skin test) ดูว่าแพ้สารอะไร, เอกซเรย์ไซนัส (ดูว่ามีการอักเสบหรือไม่) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย เป็นช่วงสั้น ๆ เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน ตอนสาย ๆ หายได้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยารักษา แต่ถ้ามีอาการน้ำมูกไหลมาก หรือไอจนน่ารำคาญ ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน, ไดเฟนไฮดรามีน หรือยาแก้แพ้ที่ไม่ง่วง (เช่น ลอราทาดีน, เซทิริซีน เป็นต้น)

ถ้ามีอาการคัดจมูกมากหรือหูอื้อร่วมด้วย ให้กินยาแก้คัดจมูก เช่น สูโดเอฟีดรีน ควบด้วย

ถ้าไอมากให้กินยาระงับการไอ

ยาเหล่านี้ให้กินเมื่อมีอาการจนน่ารำคาญ หรือมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต เมื่ออาการดีขึ้นก็ให้หยุดยา แต่ถ้ากำเริบใหม่ก็ให้กินใหม่ บางคนที่เป็นอยู่ประจำทุกวัน ก็อาจต้องคอยกินยาไปเรื่อย ๆ

2. ให้การรักษาดังกล่าวแล้วไม่ได้ผล หรือเป็นเรื้อรัง (มีอาการมากกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ และมีอาการติดต่อกันนานกว่า 4 สัปดาห์) หรือรุนแรง (มีอาการนอนไม่หลับ นอนกรน มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีผลกระทบต่อการเรียน การงาน หรือคุณภาพชีวิต) แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกวันละ 1-2 ครั้ง

3. ถ้ารักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และรักษาด้วยยาหรือวิธีอื่น ๆ ในบางรายแพทย์อาจต้องทำการทดสอบผิวหนัง (skin test) ว่าแพ้สารอะไร แล้วให้การรักษาด้วยการขจัดภูมิไว (desensitization/hyposensitization) โดยการฉีดสารที่แพ้เข้าร่างกายทีละน้อย ๆ เป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ นาน 3-5 ปี วิธีนี้จะได้ผลดีในรายที่แพ้ไรฝุ่นบ้าน เชื้อรา ละอองเกสร หญ้าวัชพืช ขุยหนังหรือรังแคแมว (cat dander) สำหรับเด็กวิธีนี้อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหืดตามมาได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดีด้วยยาแก้แพ้และสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก แต่เมื่อหยุดยาก็อาจกำเริบได้อีก

ส่วนน้อยที่ต้องให้การรักษาด้วยยากลุ่มอื่น หรือวิธีอิมมูนบำบัด (การขจัดภูมิไว)

ในรายที่ดื้อต่อการรักษาอาจเกิดจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง หรืออาจมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หืด ติ่งเนื้อเมือกจมูก แพทย์จะปรับยาที่ใช้ให้เหมาะสม หรือรักษาโรคที่พบร่วม


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหวัดภูมิแพ้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    สังเกตว่าเกิดจากสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้นอะไร แล้วพยายามหลีกเลี่ยง เช่น มีอาการขณะกวาดบ้านหรือถูกฝุ่นก็แสดงว่าเกิดจากฝุ่น ถ้าเป็นขณะอยู่ในห้องนอนก็อาจเกิดจากไรฝุ่นบ้าน ถ้าเป็นขณะสัมผัสสัตว์เลี้ยงก็อาจเกิดจากสัตว์เลี้ยง เป็นต้น วิธีหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (เช่น ไรฝุ่นบ้าน เชื้อรา สัตว์เลี้ยง ละอองเกสร ดูเพิ่มเติมในโรคหืด หัวข้อ "การป้องกัน ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง")
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักผ่อนคลายความเครียด
    ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือตามคำแนะนำของแพทย์
    ใช้ยารักษาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก ยาแก้ไอ เป็นต้น

ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการมากจนทำให้นอนไม่หลับ หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือทำให้ผู้ที่เป็นโรคหืดมีอาการหอบหืดกำเริบ
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว 
    ปวดหน่วงตรงหัวคิ้วหรือโหนกแก้ม หรือสงสัยเป็นไซนัสอักเสบแทรกซ้อน
    มีเลือดกำเดาไหล ปวดหู หูอื้อ หรือคลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    ใช้ยารักษา 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ (ดูเพิ่มเติมในโรคหืด หัวข้อ "การป้องกัน ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง")

2. รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง โดยการบำรุงอาหารสุขภาพ (กินผักผลไม้ให้มาก ๆ) ออกกำลังกายเป็นประจำ (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียด (เช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน สวดมนต์ ฝึกสมาธิ ฟังเพลง) ก็อาจมีส่วนช่วยให้โรคทุเลาได้


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง ไม่ค่อยหายขาด ถ้าอาการไม่มากพอทนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรทั้งสิ้น ถ้าจำเป็นก็แนะนำให้ไปพบแพทย์และกินยาตามที่แพทย์แนะนำ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายมีส่วนให้อาการห่างขึ้นหรือลดการใช้ยาลงได้

2. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนกินเอง เพราะมักมียาสเตียรอยด์ผสม แม้ยานี้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ถ้ากินไปนาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนตามมาหลายอย่าง ซึ่งอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

3. การใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่มีความจำเป็นในการรักษาโรคนี้เพราะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ยกเว้นในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ หรือหูชั้นกลางอักเสบ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ในการใช้ยาชนิดนี้

4. ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาพ่นจมูก ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งใช้ เพราะยาบางชนิดที่เข้ายาแก้แพ้หรือแก้คัดจมูก เมื่อหยอดบ่อยเกินไป ก็อาจทำให้เยื่อจมูกอักเสบมากยิ่งขึ้น

5. ในกรณีเป็นหวัด คัดจมูก โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจนนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุ (ตรวจอาการ คัดจมูก/น้ำมูกไหล ประกอบ)

6
อาการของเด็ก เมื่อสวมใส่เครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE ช่วงแรกๆ

เครื่องมือ EF Line เป็นเครื่องมือการจัดฟันสำหรับเด็กที่มีอายุ 4-7 ปี มีลักษณะเป็นชิ้นยางหลากหลายสี ซึ่งมีหลายขนาดตามอายุและขนาดของขากรรไกรเด็ก ซึ่งประโยชน์ของเครื่องมือชิ้นนี้ คือมันจะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าของเด็กให้มาอยู่ถูกที่ถูกทาง มากยิ่งขึ้นโดยเครื่องมือการจัดฟันในการจัดฟันในเด็กนั้น จะช่วยป้องกันปัญหาการสบฟันผิดปกติหรือแก้ไขเพื่อบรรเทาความรุนแรงของความผิดปกติซึ่งควรทำในเด็ก เพราะเครื่องมือ EF Line ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของป้องกันฟันล้ม ซึ่งใช้ในกรณีที่มีการสูญเสียฟัน หรือ ต้องถอนฟันน้ำนมก่อนกำหนด โดยทันตแพทย์จะถอนฟันน้ำนมที่เสียออก แล้วพิมพ์ปากเพื่อทำเครื่องมือกันฟันล้มใส่ให้ รอจนกว่าถึงเวลาที่ฟันแท้จะงอกขึ้นทดแทนในช่องว่างที่ถอนฟันสำหรับผู้เข้ารับการรักษาที่เป็นเด็กก็จะมีฟันแท้ งอกตรงในบริเวณที่ควรจะงอก ทำให้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาฟันคุดของฟันแท้ในบริเวณนั้น หรือ การล้มเกของฟันรอบๆ ข้าง แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การได้มีฟันน้ำนมอยู่ในปากจนครบเวลาที่ควรจะหลุด จะเป็นการป้องกันฟันล้มเกได้ดีที่สุด

นอกจากนี้ เครื่องมือดังกล่าวยังสามารถแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดปกติที่เกิดในเด็กได้ด้วย หากเรามานั่งพูดถึงสาเหตุของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็กจำนวนมาก ที่เรามักพบเจอได้บ่อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากนิสัยต่างๆ เช่น การดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ หรือ การหายใจทางปากจากปัญหาทางเดินหายใจ อาจจะส่งผลให้ฟันหน้าบนยื่น หรือไม่สบฟันได้ในที่สุด ทันตแพทย์จะมีเครื่องมือรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ไขนิสัยเหล่านี้ให้แก่เด็กได้ แต่การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ในช่วงแรกๆของเด็กอาจจะยังมีอาการผิดปกตอเล็กน้อย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตพฤติกรรมเมื่อเด็กมีอาการเมื่อสวมใส่เครื่องมือ EF LINE พ่อแม่ที่กำลังจะให้เด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE อาจจะมีความสงสัยในเรื่องของการสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ว่าเด็กจะมีอาการอะไรหรือเปล่า ดังนั้น พ่อแม่ควรที่จะสังเกตอาการที่ทางคลินิกของเรากำลังจะนำมาบอก เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ศึกษาเป็นแนวทาง

สำหรับเครื่องมือ EF line เด็กควรจะสวมใส่เครื่องมือตามที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำ ก็คือ ควรสวมใส่ในตอนกลางคืนขณะนอนหลับเป็นเวลา 10 ชม. เวลา และในตอนกลางวันเป็นเวลา 2 ชม. ซึ่งในระหว่างใส่กลางวันพ่อแม่ต้องคอยสังเกตอาการของเด็ก ไม่ควรปล่อยให้เด็กเคี้ยวเครื่องมือเล่น ไม่พูด ปากปิดสนิทเพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบปาก ในช่วงเเรกๆ การสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันอาจไม่สบายนัก แต่ร่างกายของเด็กจะปรับตัวยอมรับและดีขึ้นเองเด็กบางคนอาจมีอาการเหมือนอยากจะอาเจียน

ดังนั้น พยายามให้เด็กใส่ให้เกิดความเคยชินขึ้น โดยอาจปรับเวลาเป็นการใส่ครั้งแรก ทำให้เด็กรู้สึกเพลินเพลินกับการทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วยได้ พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรเตือนเด็กให้พยายามใส่ประคองด้วยฟ และนิ่งๆ ไม่เคี้ยวเล่น เมื่อเวลาผ่านไป ฟัน กระดูกเหงือก เนื้อเยื่อในปาก กล้ามเนื้อและลิ้นจะปรับตัวตาม EF LINE ได้เอง ปัญหาอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้น ก็จะค่อยๆลดลงจนสามารถใส่ได้นานๆอย่างสบายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อาการที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือ เมื่อเด็กสวมใส่เครื่องมือ EF LINE แล้วรู้สึกมีอาการเจ็บที่ฟัน หากเป็นฟันแท้อาจเป็นผลจากการเคลื่อนของฟันเพื่อการเรียงตัวใหม่ที่ดี แต่หากอาการเจ็บมีความรุนแรงมาก

โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นฟันน้ำนม หากพบฟันมีลักษณะโยกมาก พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจรักษา หากแรกๆ เด็กบ่นว่าใส่แล้วปวด สามารถให้เขาพักการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันได้ เอาออกเป็นช่วงๆ เพื่อค่อยๆให้ช่องปากได้ปรับตัว ยิ่งนานวันจะสามารถใส่ได้นานตามกำหนด นอกจากนี้ ควรมีการให้เด็กฝึกกลืนน้ำลายโดยลิ้นไม่ดุนฟัน แต่ให้ลิ้นเเตะเพดาน อยู่ด้านหลังห่างหลังฟันหน้าบนในเด็กที่ใส่ช่วงแรกๆ อาจจะเจ็บโคนลิ้น ให้ดื่มน้ำมากๆ หากเป็นแผลใช้ยาทาแผลช่วยบรรเทาอาการ หรือใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาชาช่วย เมื่อเด็กสามารถปรับลักษณะการกลืนและจัดตำแหน่งลิ้นได้แล้ว อาการผิดปกติเหล่านั้นจะหายไปเอง

ากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line สามารถขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลีนิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์เรื่องของการจัดฟันในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี

และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดีได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่เด็กจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ โดยไม่มีเรื่องของปัญหาช่องปากมาเป็นอุปสรรค ดังนั้น การที่เด็กมีฟันที่แข็งแรง ก็จะช่วยส่งเสริมเรื่องพัฒนาการของเด็กได้อย่างดีเลยทีเดียว

7
คอนโดติดรถไฟฟ้า เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง (Sena Kith Rattanathibet - Bangbuathong)
เริ่มต้น 0.99 ลบ.

เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง (Sena Kith Rattanathibet - Bangbuathong)
คอนโดที่ให้ "คุ้มกว่าที่คิด" ทำเลที่เชื่อมต่อกับถนนหลายสาย อาทิเช่น ถนนกาญจนาภิเษก ถนนราชพฤกษ์ ถนนรัตนาธิเบศร์ เข้า-ออก เมืองสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง 2 สาย สถานีคลองบางไผ่ และสถานีบางพลู ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางมากยิ่งขึ้น พร้อมออกแบบฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว ในราคาเริ่มไม่ถึงล้าน

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง (Sena Kith Rattanathibet - Bangbuathong)
 เจ้าของโครงการ       เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย            เสนา คิทท์
 ราคา                    เริ่มต้น 0.99 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล            คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี        1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี          ตั้งแต่ 21.50 ถึง 37.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด          6 ไร่ 3 งาน 57 ตร.ว.
 จำนวนตึก             3 อาคาร
 จำนวนชั้น            8 ชั้น
 จำนวนห้อง           756 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค        สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน           นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง          ถ. บางกรวย - ไทรน้อย ตำบลโสนลอย อำเภอบางบัวทอง นนทบุรี 11110

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
แม็คโคร บางบัวทอง
เทสโก้ โลตัส บางกรวย - ไทรน้อย
ไทวัสดุ บางบัวทอง
โฮมโปร รัตนาธิเบศร์
โรงเรียนพระแม่สกลสงเคราะห์
โรงเรียนบางบัวทอง
โรงเรียนสหศึกษาบางบัวทอง
โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปิเตอร์
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ บางบัวทอง
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ ราชพฤกษ์
โรงพยาบาลบางบัวทอง
โรงพยาบาลชลลดา
โรงพยาบาลกรุงไทย เวสเทิร์น
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

8
มือถือ Vivo วีโว่ vivo V40 5G (12GB/256GB)
15,999 บาท

วีโว่ vivo V40 5G (12GB/256GB)
ZEISS พอร์ตเทรตระดับโปรทุกกล้องเลนส์ ZEISS พอร์ตเทรต ZEISS หลายระยะโฟกัส
ออร่าพอร์ตเทรตAI แสงไฟสตูดิโอ 3D
สไตล์การออกแบบที่ประณีต ด้วยเฉดสีพิเศษ7.58 มม.* ความบางตัวเครื่อง
แบตเตอรี่ BlueVolt ความจุ 5500 mAh* ชาร์จไว 80W* วัสดุ Silicon-Carbon Anodes รุ่นที่ 2
IP68 ทนน้ำทนฝุ่น*
Qualcomm Snapdragon® 7 Gen 3 กระบวนการผลิต 4 nm 830,000 คะแนน AnTuTu*

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น            วีโว่ vivo V40 5G (12GB/256GB)
   ราคากลาง         15,999 บาท
   จำนวนซิม          2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                   Silver(Stellar Silver), Peach(Sunglow Peach), Purple(Nebula Purple)
   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850/900/1800/1900 MHz)
3G(WCDMA B1/B2/B4/B5/B8)
4G(FDD-LTE B1/B2/B3/B4/B5/B7/B8/B12/B17/B18/B19/B20/B26/B28/B66 | TD-LTE B38/B39/B40/B41)
5G(n1/n2/n3/n5/n7/n8/n20/n26/n28/n66/n38/n40/n41/n77/n78)

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 164.16 x กว้าง 74.93 x หนา 7.58 มม., น้ำหนัก 190 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)  256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด    -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ       ความจุแบตเตอรี่ 5,500 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                 จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด          6.78 นิ้ว, 452 ppi, 1,260 x 2,800 px

   รายละเอียดอื่น
อัตรารีเฟรช 60 Hz; 120 Hz
ความอิ่มตัวของสี 105% NTSC
วัสดุเปล่งแสง Q9
การสัมผัสหน้าจอ Capacitive multi-touch
ความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 4500 nits
ขอบเขตสี 100% DCI-P3

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                 กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (50 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                             -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)           Snapdragon 7 Gen 3
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)              12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก              USB(Type-C 2.0), Bluetooth(5.4), NFC, Wi-Fi
   ระบบรับส่งข้อความ                   -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, WiFi, 4G, 5G

9
สร้างรายได้จากการขายอาหารตามสั่งเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกเพศทุกวัย

การขายอาหารตามสั่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเต็มเวลาหรือเป็นอาชีพเสริมด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง คุณสามารถดึงดูดลูกค้าและทำให้ธุรกิจอาหารเติบโตได้อย่างมีกำไร การสร้างรายได้จากการขายอาหารตามสั่งเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกเพศทุกวัย

อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบนี่คือวิธีเริ่มต้น

1. เลือกตลาดเป้าหมาย
ก่อนที่คุณจะเริ่มต้น ให้กำหนดลูกค้าเป้าหมายของคุณ คุณกำลังให้บริการแก่พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือครอบครัวที่มีงานยุ่งอยู่หรือไม่ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณออกแบบเมนูที่เหมาะกับความชอบและงบประมาณของพวกเขาได้

2. สร้างเมนูที่มีเอกลักษณ์และยืดหยุ่น
เมนูของคุณควรเรียบง่ายแต่ดึงดูดใจ เน้นที่เมนูที่เป็นที่นิยม ทำง่าย และปรับแต่งได้ ลองเสนอตัวเลือกต่างๆ เช่น:
อาหารผัดต่างๆ เช่น ไก่กะเพรา หมูกระเทียม
ข้าวผัดนานาชนิด
เมนูก๋วยเตี๋ยว
ทางเลือกเพื่อสุขภาพหรือมังสวิรัติ

3. ค้นหาทำเลที่ดี
หากคุณวางแผนที่จะขายจากสถานที่จริง ให้เลือกพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ใกล้สำนักงาน โรงเรียน หรือตลาด นอกจากนี้ คุณยังสามารถดำเนินการจากที่บ้านและเสนอบริการจัดส่งผ่านแอปจัดส่งอาหาร

4. เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนและราคา
หากต้องการเพิ่มผลกำไรสูงสุด ควรจัดการต้นทุนอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ซื้อวัตถุดิบเป็นจำนวนมาก ลดของเสีย และคำนวณราคาขายที่เหมาะสม คำนวณค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ และค่าจัดส่ง เพื่อกำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้แต่ทำกำไรได้

5. ใช้การตลาดออนไลน์
โปรโมตธุรกิจของคุณโดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ TikTok โพสต์ภาพอาหารคุณภาพสูง โปรโมต และมีส่วนร่วมกับลูกค้า นอกจากนี้ คุณยังสามารถร่วมมือกับบริการจัดส่งอาหารเพื่อขยายการเข้าถึงของคุณได้อีกด้วย

6. รักษาคุณภาพและสุขอนามัยอาหาร
ลูกค้าชื่นชอบอาหารที่สะอาด สด และอร่อย มั่นใจได้ในมาตรฐานด้านสุขอนามัย ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และรักษาความสม่ำเสมอของรสชาติ การนำเสนอที่สะอาดและเป็นมืออาชีพจะดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

7. นำเสนอบริการลูกค้าที่เป็นเลิศ
การบริการที่ดีเยี่ยมจะช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า เป็นมิตร ตอบกลับคำติชม และเสนอโปรโมชั่นหรือส่วนลดเพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก

การขายอาหารตามสั่งสามารถเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้หากมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ การเลือกเมนูที่เหมาะสม การปรับต้นทุนให้เหมาะสม การทำตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความสำคัญกับคุณภาพ จะช่วยให้คุณสร้างธุรกิจอาหารที่ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ที่มั่นคงได้


10
ก่อนเลือกฉนวนกันความร้อนโรงงาน ต้องใส่ใจปัจจัยอะไรบ้าง

โรงงานอุตสาหกรรมใดก็ตามที่ปล่อยให้ความร้อนสะสมภายในโรงงานสูง ๆ โดยไม่ได้วางแผนติด “ฉนวนกันความร้อนโรงงาน” อาจกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ ๆ ซึ่งนอกจากปัญหาเรื่องการสูญเสียพลังงานที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ก็ยังเสี่ยงถูกตรวจสอบได้ ซึ่งหากพบว่าระดับความร้อนในโรงงานสูงเกิดมาตรฐานก็จะมีโทษร้ายแรงอาจถึงขั้นสั่งปิดโรงงานได้เลยที่เดียว

อย่างไรก็ตาม เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน ปัจจัยสำคัญต่อจากนี้ไปคือ Checklists ที่จะต้องใช้พิจารณาฉนวนกันความร้อน เพื่อให้ได้ฉนวนที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ตอบโจทย์รอบด้านครบถ้วนมากที่สุด
ฉนวนกันความร้อน


1.พิจารณาวัสดุฉนวนกันความร้อนโรงงานให้ดี

ฉนวนกันความร้อนโรงงานในท้องตลาดนั้นมีหลากหลายแบรนด์ และทำมาจากหลากหลายวัสดุ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ราคาแตกต่างกันไปด้วย แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะไม่ลืมเลยก็คือ ห้ามตกหลุมไปกับราคาฉนวนกันความร้อนที่ถูกกว่าเด็ดขาด แต่ให้พิจารณาจากวัสดุที่ใช้ทำฉนวนกันความร้อนมาก่อนเป็นอันดับแรก

โดยจำเป็นต้องเลือกฉนวนกันความร้อนที่ผลิตมาจากวัสดุที่กันความร้อนได้ดี เช่น ฉนวนกันความร้อน ที่ผลิตโดยใช้ฉนวนใยแก้ว ที่มีรูโพรงอากาศจำนวนมาก จึงสามารถกักเก็บความร้อนไม่ให้ไหลผ่านทะลุออกได้ง่าย ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกันความร้อนที่ค่อนข้างสูงกว่าวัสดุประเภทอื่น ๆ


2.พิจารณาที่ค่า R-Value ของฉนวนกันความร้อนโรงงานที่เลือก

หลาย ๆ คนอาจไม่แน่ใจว่าวัสดุของฉนวนกันความร้อนใด สามารถกันความร้อนได้ดีที่สุด ลังเลว่าระหว่างฉนวนกันความร้อนที่เป็นยาง กับฉนวนใยแก้ว ไฟเบอร์กลาส อะไรกันความร้อนได้ดีกว่ากัน วิธีที่จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกฉนวนกันความร้อนได้ดี มีประสิทธิภาพในการใช้ป้องกันความร้อนได้ดีมากขึ้นนั้น ให้สังเกตจากค่า R-Value หรือ ค่าต้านทานความร้อน โดยฉนวนกันความร้อนใดก็ตามที่มีค่า R สูง ๆ ก็จะหมายความว่ามีความสามารถในการต้านทานความร้อนสูง คือกันความร้อนได้ดีนั่นเอง

ทั้งนี้ หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่า R สูงก็คือความหนาของฉนวน หมายความว่า ถ้าวัสดุที่ใช้ทำฉนวนกันความร้อนเหมือนกัน เช่น เป็นฉนวนใยแก้ว ฉนวนที่จะกันความร้อนได้ดีกว่า คือฉนวนกันความร้อนที่มีความหนาของตัวเนื้อฉนวนมากกว่านั่นเอง และแน่นอนว่า ค่า R ของฉนวนหนา ๆ นั้นก็จะสูงกว่าฉนวนที่บางนั่นเอง


3.พิจารณาเรื่องการทนไฟและความปลอดภัยให้ดี

ฉนวนกันความร้อนโรงงานส่วนใหญ่ มักจะต้องติดบริเวณห้องเครื่องจักร ท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ท่อลำเลียงอุณหภูมิสูง ระบบปรับอากาศ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นจุดที่มีความสุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอัคคีภัยได้ตลอดเวลา

ดังนั้น อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญที่ต้องใช้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจเลือกฉนวนกันความร้อนโรงงาน ก็คือ คุณสมบัติของฉนวนที่ควรจะต้องกันไฟได้ดี ทนไฟ ไม่ลุกลามไฟ เพื่อให้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ฉนวนจะได้ไม่เป็นตัวลามไฟ แต่เป็นตัวตัดตอนให้ไฟไม่ลุกลามแพร่กระจายไปไกลมากขึ้น ทำให้เกิดความปลอดภัยเพิ่มขึ้นต่อทรัพย์สินของโรงงาน ตลอดไปจนถึงมีส่วนช่วยในการป้องกันความเสี่ยงเสียงชีวิตของผู้ที่อยู่ในพื้นที่โรงงานเมื่อเกิดไฟไหม้ได้ด้วย


4.อย่าลืมพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพผู้เกี่ยวข้อง

ฉนวนกันความร้อนจะต้องอยู่กับความร้อนตลอดเวลา ทำให้เสี่ยงต่อการปล่อยสารละเหย หรือผงฝุ่นละอองจากวัสดุฉนวนฟุ้งกระจายในพื้นที่ได้ ดังนั้น หากวัสดุที่ใช้ทำฉนวนกันความร้อนมีสารพิษเจือปน หรือมีสารที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัย ต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบล่ะก็ จะถือเป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงานและผู้คนในชุมชนใกล้เคียงได้ ซึ่งแน่นอนว่าหากถูกตรวจสอบพบว่าโรงงานมีส่วนในการปล่อยมลภาวะที่เป็นเหตุทำให้สุขภาพของพนักงานหรือคนในชุมชนมีปัญหา ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลายที่อาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมหาศาลได้

การติดฉนวนกันความร้อนโรงงานนั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจที่ราบรื่น ประหยัดต้นทุน และถูกกฎหมาย แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับผู้ประกอบการโรงงานก็คือ การตัดสินใจเลือกฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ดี มีคุณภาพ ตลอดไปจนถึงต้องออกแบบติดตั้งแก้ไขด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพราะหากเลือกฉนวนกันความร้อนไม่ดี ติดตั้งแบบผิด ๆ สุดท้ายแล้วก็จะไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ กันความร้อนไม่ได้จริง และกลายเป็นเสียงบประมาณเสียเวลาเปล่าไปโดยใช่เหตุ

11
จัดฟันบางนา: ข้อดีของการ จัดฟันแบบใส ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น !

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการจัดฟันรูปแบบใหม่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการจัดฟันแบบใส ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น หากเปรียบเทียมกับการจัดฟันในรูปแบบเดิม ที่ต้องใส่เหล็กจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบนี้ จะทำให้เราใช้ชีวิตด้วยข้อจำกัด อย่างเช่น เรื่องของอาหารการกิน คือผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟัน


จะต้องคำนึงในเรื่องของการรับประทานอาหาร ยุ่งยากเวลาทำความสะอาดซอกฟันและซอกเหล็ก และต้องคอยเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือนด้วย แต่การจัดฟันแบบใสนั้น มีความสะดวกกว่า เนื่องจาก มองเห็นเครื่องมือได้ยาก สามารถพูดคุยได้ตามปกติ ซึ่งต่างจากที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ในช่องปากจะทำให้เราพูดไม่ชัด

รวมไปถึงการที่สามารถถอดเหล็กจัดฟันออกได้ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของอาหารการกิน เพราะการจัดฟันแบบใส เวลาที่ต้องรับประทานอาหาร จะต้องถอดเครื่องมือออก ทำให้มีความหลากหลายในการรับประทานอาหารและยังสามารถถอดออกได้ในเวลาที่ต้องทำความสะอาดช่องปาก เนื่องจากกานถอดเครื่องมือออกได้นี้เอง

เป็นการส่งผลให้เรามีสุขภาพช่องปากที่ดีไปด้วย สามารถใช้ไหมขัดฟันได้ ทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าเครื่องมือจะหลุด และเครื่องมือการจัดฟันแบบใสยังถอดออกและใส่เข้าไปได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งยังดูแลรักษาเครื่องมือจัดฟันได้ง่าย ไม่ต้องยุ่งยาก และยังไม่ต้องเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าพบทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาบ่อยๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า การจัดฟันแบบใส จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีชีวิตที่ง่ายกว่าเดิม ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย รับประทานอาหารที่ชอบได้อย่างเต็มที่ และยังทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่ ยังช่วยป้องกันฟันผุ และปัญหาสุขภาพปากและฟันที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ทางคลีนิคเรามีบริการการจัดฟันแบบใส โดยทีมทัตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนาน สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคลมชัก (Seizures/Epilepsy)/ลมบ้าหมู (Grand mal)

โรคลมชัก เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ผิดปกติของสมอง ทำให้เกิดอาการหมดสติ เคลื่อนไหวผิดปกติ รับสัมผัสความรู้สึกแปลก ๆ หรือมีพฤติกรรมผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นฉับพลัน เป็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็กลับหายเป็นปกติได้เอง แต่มักจะมีอาการกำเริบซ้ำเป็นครั้งคราว แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคลมชักต่อเมื่อพบว่ามีอาการกำเริบตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป การชักเพียงครั้งเดียวอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และหายขาดตลอดไป แพทย์จะไม่วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชัก

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-1 ของประชากรทั่วไป พบได้ในคนทุกอายุ แต่มักจะพบเป็นครั้งแรกในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และคนอายุมากกว่า 65 ปี

ในปัจจุบันมีการแบ่งโรคลมชักออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ โรคลมชักเฉพาะส่วน (focal seizures) และโรคลมชักทั่วไป (generalized seizures) แต่ละกลุ่มยังแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ออกไปอีกหลายชนิด

ในที่นี้จะกล่าวอย่างละเอียดเฉพาะ โรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (tonic-clonic seizures หรือ grand mal seizures) ซึ่งอยู่ในกลุ่มโรคลมชักแบบทั่วไป จะมีอาการชักร่วมกับหมดสติ (ตรงกับที่คนไทยเรียกว่า ลมบ้าหมู) โรคลมชักชนิดนี้จัดว่าเป็นชนิดที่พบได้บ่อย มีความรุนแรงและมีอันตรายมากกว่าชนิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากลายเป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) มีโอกาสเสียชีวิตและพิการค่อนข้างสูง

สาเหตุ

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ซึ่งเป็นโรคลมชักแบบทั่วไปชนิดหนึ่ง เกิดจากการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างผิดปกติของเซลล์สมองเพียงจุดใดจุดหนึ่งในสมอง และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังสมองทั้งสองด้าน กระตุ้นให้เกิดอาการชักทั้งตัวและหมดสติชั่วขณะ

โรคลมชักกว่าร้อยละ 50 จะเกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน เรียกว่า โรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic seizures) เชื่อว่ามีความพร่องของสารเคมีบางอย่างในการควบคุมกระแสไฟฟ้าในสมอง โดยที่โครงสร้างของสมองเป็นปกติดี ทำให้การทำหน้าที่ของสมองสูญเสียความสมดุล เกิดอาการลมชักขึ้น โรคลมชักชนิดนี้ส่วนใหญ่มักพบมีอาการครั้งแรกในคนอายุ 5-20 ปี และเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ (มักมีประวัติโรคลมชักในครอบครัว)

ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนหนึ่งจะตรวจพบสาเหตุชัดเจน เรียกว่า โรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ (symptomatic seizures) ซึ่งมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้ที่มีอายุมากกว่า 25 ปีที่เริ่มชักเป็นครั้งแรก มีสาเหตุตามกลุ่มอายุดังนี้

    อาการชักในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจมีสาเหตุจากไข้ (ดู “โรคชักจากไข้”) โรคติดเชื้อในสมอง ความผิดปกติของสมองแต่กำเนิด สมองได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างคลอด หรือมีภาวะบางอย่างที่กระทบต่อสมอง เช่น ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นต้น
    ในเด็กเล็กที่มีความบกพร่องด้านพัฒนาการ เช่น ออทิสติก (autism spectrum disorder) สมาธิสั้น (ADHD) กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) สมองพิการ (cerebral palsy ซึ่งเกิดจากสมองขาดออกซิเจนตอนคลอด) มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมชักมากกว่าปกติ
    ในวัยทำงานหรือวัยกลางคน อาจเกิดจากโรคพิษสุรา ยาเสพติด การใช้ยาเกินขนาด
    ในผู้สูงอายุอาจเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง โรคสมองเสื่อม ไตวาย หรือตับวายระยะท้าย ความดันโลหิตสูงชนิดร้ายแรง
    ในคนทุกวัยอาจเกิดจากโรคติดเชื้อ (เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มาลาเรียขึ้นสมอง เอดส์) เนื้องอกสมอง ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เลือดออกในสมอง เป็นฝีหรือพยาธิในสมอง สมองอักเสบจากโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune encephalitis) ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พิษจากยาเกินขนาด (เช่น ยาชาลิโดเคน ยาแก้ซึมเศร้า ทีโอฟิลลีน เป็นต้น)
    ในหญิงตั้งครรภ์อาจเกิดจากครรภ์เป็นพิษ

อาการ

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ผู้ป่วยอยู่ดี ๆ ก็มีอาการหมดสติ เป็นลมล้มพับกับพื้นทันที พร้อมกับมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัว หายใจลำบาก หน้าเขียว ซึ่งจะเป็นอยู่นานไม่กี่วินาทีถึง 20 วินาที ต่อมาก็จะมีอาการชักกระตุกของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเป็นระยะ ๆ และมีอาการตาค้าง ตาเหลือก ในระยะแรกมักจะถี่แล้วค่อย ๆ ลดลงตามลำดับจนกระทั่งหยุดกระตุก ในช่วงนี้จะมีอาการน้ำลายฟูมปาก และอาจมีเลือดออก (จากการกัดริมฝีปากหรือลิ้นตัวเอง) อาจมีอาการปัสสาวะหรืออุจจาระราดร่วมด้วย

อาการชักจะเป็นอยู่นาน 1-3 นาที แล้วฟื้นสติตื่นด้วยความรู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย บางรายอาจม่อยหลับไปนานเป็นชั่วโมง ๆ

ผู้ป่วยมักจะจำไม่ได้ว่าตัวเองล้มลง

หลังจากม่อยหลับและตื่นขึ้นมาแล้ว อาจมีอาการปวดศีรษะ มึนงง สับสน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หาวนอน ลืมตัว และอาจทำอะไรที่ตัวเองจำไม่ได้ในภายหลัง

บางรายอาจมีอาการเตือน หรือออรา (aura) นำมาก่อนจะหมดสติ เช่น แขนหรือขาชาหรือกระตุกเพียงข้างหนึ่ง หรืออาจเห็นแสงวาบ ได้กลิ่น รส หรือได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือมีความรู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น

ผู้ป่วยอาจเกิดอาการชักในเวลากลางวัน หรือหลังเข้านอนตอนกลางคืนก็ได้ บางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุกระตุ้น บางครั้งก็พบสาเหตุที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยชัก เช่น การอดนอนหรือนอนไม่พอ หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา การกินอาหารมากเกินไป ร่างกายเหนื่อยล้า อารมณ์เครียด การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพยา (เช่น แอมเฟตามีน โคเคน) การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก-ไดเฟนไฮดรามีน ยาแก้คัดจมูก-สูโดเอฟีดีน ยาแก้ปวด-ทรามาดอล ยาต้านซึมเศร้า เป็นต้น) การมีประจำเดือน การเจ็บป่วย (เช่น ไข้สูง โรคโควิด-19 ไข้หวัด ไซนัสอักเสบ ภาวะขาดน้ำ) การอยู่ในที่ที่มีเสียงอึกทึกหรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การลืมกินยารักษาโรคลมชัก เป็นต้น

โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักมีอาการชักอยู่เพียง 1-3 นาที ก็จะหยุดชัก และฟื้นสติตื่นขึ้น

บางรายที่มีอาการรุนแรง อาจเป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายร้ายแรง ผู้ป่วยจะชักต่อเนื่องนานกว่า 5 นาทีขึ้นไป หรือมีอาการชักตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปโดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการฟื้นสติในระหว่างช่วงการชักแต่ละครั้ง


โรคลมชักต่อเนื่องมักพบในผู้ป่วยที่เคยกินยารักษาโรคลมชักมาก่อนแล้วขาดยา (หยุดกินยา) ทันที แต่ถ้าพบภาวะนี้ในผู้ที่มีอาการโรคลมชักเป็นครั้งแรก ก็มักจะเป็นโรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ เช่น โรคติดเชื้อของสมอง เนื้องอกสมอง สมองพิการ ตกเลือดในสมอง พิษยาเกินขนาด ภาวะถอนแอลกอฮอล์ในผู้ป่วยที่ติดแอลกอฮอล์ ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว/ลมบ้าหมู อาจมีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

    อาการหมดสติ ล้มฟุบ และชัก อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ เช่น บาดแผลตามร่างกาย แผลจากการกัดลิ้นตัวเอง กระดูกหัก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

ข้อสำคัญคือ อาจทำให้ได้รับอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ขณะเล่นน้ำหรือว่ายน้ำ ปีนป่ายหรืออยู่ในที่สูง อยู่ใกล้เตาไฟ น้ำร้อนหรือของร้อน ซึ่งอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงถึงตายได้

    อาจทำให้เกิดการสำลักเศษอาหารลงปอด เกิดปอดอักเสบได้
    ผู้ที่มีอาการชักบ่อย อาจทำให้มีอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนหนังสือ และการทำงานได้
    บางรายพบว่ามีความบกพร่องทางอารมณ์และสติปัญญา เช่น ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ มีภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้า
    ในรายที่เป็นโรคลมชักต่อเนื่อง (status epilepticus) หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ก็อาจทำให้สมองพิการหรือเสียชีวิตได้ ภาวะนี้มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-20
    ผู้ที่เป็นโรคลมชักรุนแรงบางรายอาจเกิดภาวะเสียชีวิตกะทันหัน (sudden unexpected death in epilepsy) ขณะมีอาการกำเริบ แม้เกิดอาการขณะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย (เช่น บนเตียงนอน) ก็ตาม สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ภาวะขาดอากาศหายใจ (suffocation) การสำลักอาหาร เป็นต้น มักเกิดกับผู้ที่ยังควบคุมอาการชักไม่ได้ผลดีและมีการขาดยารักษา ภาวะนี้พบได้ประมาณ 1 รายต่อผู้ที่เป็นโรคลมชักเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) 1,000 รายต่อปี


การวินิจฉัย

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

โดยทั่วไปเมื่อผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลมักจะหยุดชักแล้ว ซึ่งตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นบาดแผลตามร่างกายหรือลิ้น ในกรณีที่มีการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ
แทรกซ้อน

ถ้าพบผู้ป่วยขณะมีอาการ ก็จะพบอาการหมดสติ ชักเกร็ง กระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogram/EEG) ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เจาะหลัง (lumbar puncture) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

สำหรับโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ในรายที่มีอาการชักติดต่อกันนานเกิน 5 นาที อาจมีแนวโน้มเป็นอาการแสดงของโรคลมชักต่อเนื่อง แพทย์จะให้การปฐมพยาบาล และฉีดยาแก้ชัก (เช่น ไดอะซีแพม, ลอราซีแพม, ฟีโนบาร์บิทาล, เฟนิโทอิน, ไมดาซีแพม) และให้การรักษาแบบประคับประคอง (เช่น ใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ออกซิเจน ให้น้ำเกลือ) ตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุ ถ้าตรวจพบว่าเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ก็จะฉีดกลูโคสขนาด 50% 50-100 มล. เข้าหลอดเลือดดำ

ถ้าหยุดชักแล้ว ให้การรักษาดังข้อ 2

2. ในรายที่ชักเพียงชั่วขณะ หรือหยุดชักจากการดูแลรักษาเบื้องต้น ถ้าเป็นการชักครั้งแรก หรือยังไม่เคยได้รับการตรวจจากแพทย์มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือคนอายุมากกว่า 25 ปี อาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogram/EEG) ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เจาะหลัง (lumbar puncture) เพื่อค้นหาความผิดปกติของสมอง นอกจากนี้หากสงสัยว่ามีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ อาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ (เช่น การตรวจนับเม็ดเลือด การตรวจระดับน้ำตาลและเกลือแร่ในเลือด การตรวจเลือดทดสอบการทำงานของตับและไต เป็นต้น) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ หากเพิ่งเคยชักมาเพียง 1 ครั้ง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัว หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการ และเฝ้าสังเกตดูอาการต่อไป โดยยังไม่ให้ยารักษา เนื่องเพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจไม่มีอาการชักอีกตลอดไป (โอกาสชักซ้ำพบได้ประมาณร้อยละ 30-60) ซึ่งไม่คุ้มกับผลข้างเคียงจากยา

แพทย์จะพิจารณาให้ยากันชักแก่ผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบซ้ำครั้งที่ 2 ยาที่นิยมใช้เป็นพื้นฐาน ได้แก่ ฟีโนบาร์บิทาล และเฟนิโทอิน โดยจะเลือกใช้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งก่อน แพทย์จะค่อย ๆ ปรับขนาดยาที่ใช้ขึ้นทีละน้อยจนสามารถควบคุมอาการได้ ถ้าไม่ได้ผลอาจเปลี่ยนไปใช้ยาพื้นฐานอีกชนิดหนึ่ง

แต่ถ้าได้ลองใช้ยาพื้นฐานในขนาดเต็มที่แล้วยังไม่ได้ผล อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ชนิดอื่น เช่น โซเดียมวาลโพรเอต (sodium valproate) คาร์บามาซีพีน (carbamazepine) โทพิราเมต (topiramate) เป็นต้น

ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการกำเริบด้วยยาเพียงชนิดเดียว มีน้อยรายที่อาจต้องให้ยาควบกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป

เมื่อปรับยาจนสามารถควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ป่วยจะต้องกินยาในขนาดนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปี จนปลอดอาการชักแล้ว 2-3 ปี (สำหรับเด็ก) และ 5 ปี (สำหรับผู้ใหญ่) จึงเริ่มหยุดยา โดยค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้เกิดโรคลมชักต่อเนื่องเป็นอันตรายได้

เมื่อลดยาหรือหยุดยาแล้ว กลับมีอาการชักใหม่ (พบได้ประมาณร้อยละ 25 ในเด็ก และร้อยละ 40-50 ในผู้ใหญ่) ก็ควรจะกลับไปใช้ยาตามเดิมอีก บางรายอาจต้องกินยาคุมอาการตลอดไป

3. สำหรับผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักและกินยารักษามาก่อน ถ้าพบว่ามีอาการชักเพราะขาดยาหรือปรับลดยาเอง ก็ให้กลับไปกินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอยู่เดิม แต่ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการชักทั้ง ๆ ที่กินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอยู่แล้ว อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดยา หรือปรับเปลี่ยนยาใหม่ จนกว่าจะควบคุมอาการได้

4. ในรายที่ใช้ยารักษาไม่ได้ผลหรือทนต่อผลข้างเคียงไม่ได้ แพทย์จะทำการตรวจด้วยวิธีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อค้นหาตำแหน่งเนื้อสมองที่เป็นจุดกำเนิดการชัก (ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติ) และทำการผ่าตัดสมองจุดนั้นออกไป  ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หรือไม่ก็อาจช่วยลดความถี่และบรรเทาความรุนแรงของการชัก หลังผ่าตัดแพทย์จะให้ยากันชักคอยควบคุมอาการต่อไป

ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อต่อยาและการผ่าตัดดังกล่าว แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น

    การใช้เครื่องกระตุ้นประสาทเวกัส (vagus nerve stimulation) เป็นการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นประสาทไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก โดยมีสายไฟต่อกับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 หรือประสาทเวกัส (Vagus Nerve) ซึ่งอยู่ที่บริเวณคอ เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทเวกัสและสมอง ก็จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักลงได้ และลดขนาดยากันชักที่ใช้ลงได้
    การกระตุ้นสมองส่วนลึก (deep brain stimulation/DBS) เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) ไว้ที่บริเวณทาลามัสในสมอง โดยต่อกับอุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าซึ่งฝังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก หรือกะโหลก เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง ก็จะช่วยลดอาการชักลงได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่การใช้ยากันชักมักทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดี คือ ปลอดอาการชักได้ ซึ่งอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องนานเป็นปี ๆ กว่าจะหยุดยาได้ บางรายหลังหยุดยาอาจมีอาการชักกำเริบได้อีก บางรายอาจดื้อต่อยา และจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยวิธีอื่น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการชัก ควรให้การปฐมพยาบาล และพาผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคลมชักหรือลมบ้าหมู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยากันชักทุกวัน ตามขนาดที่แพทย์แนะนำ ควรทำบันทึกการกินยาและการนัดของแพทย์เพื่อกันลืม
    อย่าหยุดยา หรือปรับเปลี่ยนขนาดยา หรือซื้อยากินเอง
    ถ้าลืมกินยาไปเพียงมื้อเดียวหรือวันเดียว ให้เริ่มกินในมื้อต่อไปตามปกติ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดอื่นร่วมกับยากันชักโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะยาบางชนิดอาจต้านฤทธิ์ยากันชัก ทำให้อาการชักกำเริบได้ บางชนิดอาจเสริมฤทธิ์ยากันชัก ทำให้เกิดพิษขึ้นได้
    ยากันชักบางชนิดอาจต้านฤทธิ์ยาเม็ดคุมกำเนิด ทำให้คุมกำเนิดไม่ได้ผล บางชนิดอาจมีผลทำให้ทารกในครรภ์พิการหรือแท้งได้ ผู้ป่วยที่กินยาคุมกำเนิดหรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การดูแลที่เหมาะสมต่อไป เช่น ในรายที่กินยาโซเดียมวาลโพรเอต หรือคาร์บามาซีพีน แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาเม็ดกรดโฟลิก (folic acid) ขนาด 1 มก./วัน ตั้งแต่ระยะก่อนตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการทางระบบประสาทในทารก (neural tube defect)
    หากตั้งครรภ์ หรือเจ็บป่วยอย่างอื่น ควรแจ้งให้แพทย์ที่รักษาทราบ และนำยาที่กินอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วย
    ในกรณีที่เปลี่ยนสถานที่รักษา ควรนำประวัติและยาที่กินอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วย
    หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการชัก เช่น อย่าอดนอน อย่าอดอาหาร อย่าทำงานเหนื่อยเกินไป ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่กระตุ้นให้เกิดอาการชัก อย่าเข้าไปในที่ที่มีเสียงอึกทึกหรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนทางจิตใจ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงการกระทำและสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย เช่น ว่ายน้ำ ปีนขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ใกล้น้ำ ทำงานกับเครื่องจักร ขับรถ ขับเรือ เดินข้ามถนนตามลำพัง เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องว่ายน้ำ ควรมีคนอื่นอยู่ด้วยตลอดเวลา

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชักกำเริบ
    ขาดยาที่แพทย์สั่งให้ใช้หรือยาหาย
    มีไข้ หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การปฐมพยาบาลสำหรับโรคลมบ้าหมูหรืออาการชัก

เมื่อพบผู้ป่วยมีอาการชัก ควรให้การปฐมพยาบาลดังนี้

1. ป้องกันอันตราย หรือการบาดเจ็บ โดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในพื้นที่โล่งและปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือระเกะระกะอยู่ข้างกาย (ถ้ามีข้าวของที่อยู่รอบบริเวณผู้ป่วยควรเคลื่อนย้ายออกไป) ระวังการตกจากที่สูง และให้อยู่ห่างจากน้ำและไฟ

2. ปลดเสื้อผ้า เข็มขัด เครื่องแต่งกาย เน็กไท ผ้าพันคอให้หลวม

3. จับผู้ป่วยนอนในท่าตะแคง เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง (โดยการผลักลำตัวผู้ป่วย ไม่ใช่การดึงแขนผู้ป่วย อาจทำให้ไหล่หลุดได้) ให้ผู้ป่วยหนุนหมอนหรือผ้าห่ม

4. ถ้ามีเศษอาหาร เสมหะ หรือฟันปลอม ให้นำออกจากปาก ถ้าผู้ป่วยใส่แว่นตาควรถอดออก

5. อย่าใช้วัตถุ (เช่น ไม้ ด้ามช้อน ปากกา ดินสอ) สอดใส่ปากผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้น เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจทำให้ปากและฟันได้รับบาดเจ็บได้

6. อย่าผูกหรือมัดตัวผู้ป่วย อาจทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บได้

7. อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง จนกว่าจะหายเป็นปกติ

8. อย่าให้ผู้ป่วยกินอะไรระหว่างชัก หรือหลังชักใหม่ ๆ อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักได้


การป้องกัน

โรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic seizures) แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้อาการชักกำเริบได้ ด้วยการกินยารักษาอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ “การดูแลตนเอง”

โรคลมชักชนิดทราบสาเหตุ (symptomatic seizures) อาจป้องกันด้วยการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือภาวะที่ทำให้ชัก อาทิ

    ป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะจากเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางจราจร การตกจากที่สูง เป็นต้น
    ป้องกันการเกิดโรคพยาธิในสมอง เช่น โรคพยาธิตืดหมู ด้วยการไม่กินเนื้อหมูดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคติดเชื้อที่มีผลต่อสมอง เช่น มาลาเรีย สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
    ป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยาเบาหวาน พึงระวังไม่ให้ใช้ยาเกินขนาด หรือกินอาหารผิดเวลา หรืออดอาหาร
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด หรือการใช้สารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาท

ข้อแนะนำ

1. โรคลมชักมีหลายชนิด นอกจากโรคลมชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (ลมบ้าหมู) ซึ่งมีอาการชักร่วมกับหมดสติ และมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้แล้ว ยังอาจมีโรคลมชักชนิดอื่น ๆ ที่ไม่มีอาการหมดสติ หรืออาการชักก็ได้ เช่น มีอาการแขนหรือขาชาหรือกระตุกเพียงข้างเดียว หรือมีอาการกระตุกของมุมปาก ใบหน้า นิ้วมือหรือนิ้วเท้า หรืออาจเห็นแสงวาบ ได้กลิ่น รส หรือได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือมีอาการแบบเผลอสติ (สูญเสียการรับรู้สิ่งรอบตัว) หรือเหม่อนิ่งชั่วขณะ เป็นต้น หากพบว่ามีอาการชัก หมดสติ หรืออาการแปลก ๆ ดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุหรือลมบ้าหมู ส่วนใหญ่มีทางรักษาให้หายขาดได้ หรือสามารถใช้ยาควบคุมไม่ให้เกิดการชักได้ แต่ต้องกินยาติดต่อกันนานเป็นปี ๆ บางรายอาจต้องกินยาไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยควรไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจนควบคุมโรคได้แล้ว ผู้ป่วยสามารถทำงาน เรียนหนังสือ เล่นกีฬาหรือออกสังคมได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถแต่งงานได้

3. ผู้ป่วยควรเปิดเผยให้เพื่อนที่ทำงานหรือที่โรงเรียนทราบถึงโรคที่เป็น เพื่อว่าเมื่อเกิดอาการชักจะได้ไม่ตกใจ และหาทางช่วยเหลือให้ปลอดภัย พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงควรมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของโรคและวิธีช่วยเหลือผู้ป่วย ไม่ควรแสดงความรังเกียจ ควรให้กำลังใจผู้ป่วย และให้เข้าร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวันเช่นคนอื่น ๆ

4. อาการชักอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย (ตรวจอาการชัก) แพทย์จะทำการวินิจฉัยแยกแยะให้แน่ชัดก่อนจะสรุปว่าเป็นโรคลมชักชนิดไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ อาจเกิดจากความผิดปกติทางสมอง ส่วนในวัยรุ่นหรือวัยทำงานอาจเกิดจากพิษแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด

13
บริการทำความสะอาด: อย่าปล่อยให้อ่างล้างหน้าสกปรก เสี่ยงเชื้อโรคง่าย

การทำความสะอาดบ้าน เป็นเรื่องของทุกคนจะต้องคอยดูแลให้มีความเรียบร้อยอยู่เสมอนอกจากจะสร้างบรรยากาศที่ดีภายในบ้านแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยด้วยเพราะการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็จะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงด้วยพื้นที่ภายในบ้านที่เราจะต้องทำให้มีความสะอาดอยู่เสมอ ก็คงหนีไม่พ้นห้องน้ำที่เป็นพื้นที่ที่เราจะได้ระบายของเสียภายในร่างกายออกได้ ซึ่งเสี่ยงที่จะเชื้อโรคหากไม่ทำความสะอาดให้ดี โดยปกติห้องน้ำส่วนใหญ่จะมีอ่างล้างหน้าที่เราจะใช้ล้างหน้า แปรงฟัน

และเป็นอีกหนึ่งจุดในห้องน้ำที่เป็นอีกบริเวณหนึ่งที่มีการใช้งานค่อนข้างมาก ทำให้เกิดมีคราบสกปรกสะสมทั้งจากยาสีฟัน สบู่ล้างหน้า โฟมโกนหนวด หรืออาจมีคราบจากเครื่องสำอางแต่งหน้าด้วย

นานวันเข้าคราบเหล่านี้ยิ่งฝังแน่นจนไม่น่ามอง และขัดถูล้างออกได้ยากในจุดนี้เราจะต้องคอยล้างให้สะอาดอยู่เสมอ และไม่ควรปล่อยให้อ่างล้างหน้าสกปรก
เพราะเราอาจจะต้องเสี่ยงเชื้อโรคได้ง่ายมาก เพราะเป็นจุดที่เราจะต้องใช้งานอยู่ทุกวัน

สำหรับวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับการทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้สะอาดน่าใช้ ดูเหมือนใหม่ และลดความเสี่ยงของการเกิดเชื้อโรคที่อาจจะแพร่กระจายอยู่ภายในห้องน้ำของบ้านของเราด้วย

สำหรับบริเวณอ่างล้างหน้า เป็นพื้นที่ที่ทุกคนในบ้านจะใช้งานกันเป็นประจำอยู่แล้วภายในห้องน้ำอย่างอ่างล้างหน้าก็มีความสกปรกได้ และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคด้วยซึ่งการทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่ออ่างล้างหน้า เพื่อไม่ให้สีของอ่างล้างหน้าซีด ผุกร่อน

ก็มีวิธีง่ายๆ นั่นก็คือ ใช้เบคกิ้งโซดาในปริมาณครึ่งถ้วยเล็ก ผสมกับน้ำมะนาวครึ่งลูก และนำมาคนให้เข้ากันจากนั้นใช้ฟองน้ำชุบส่วนผสมเหล่านั้นไปขัดให้ทั่วอ่าง เพียงเท่านี้อ่างล้างหน้าก็จะสะอาดหมดจดแล้ว

ที่สำคัญภายหลังจากการอาบน้ำ หรือหลังจากการใช้งานอ่างล้างหน้าแล้ว เราต้องเช็ดล้างทำความสะอาดคราบสบู่ทันทีถ้าหากถ้ามีคราบดำ ก็ควรใช้สบู่กับฟองน้ำขัดล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้ง อย่าให้มีน้ำขังอยู่ในอ่างเพราะคราบสบู่จะสะสมฝังแน่นได้ และอาจจะทำให้ทำความสะอาดยากขึ้น

นอกจากนี้ในเรื่องของการดูแลการระบายน้ำ ก็อย่าให้อุดตัน โดยเฉพาะเศษขนหรือผมที่คั่งค้างตรงจุดระบายน้ำก็ต้องหมั่นขจัดเศษสกปรกออกให้หมด

นอกเหนือจากการทำความสะอาดอ่างล้างหน้าแล้ว การดูเเลรักษาผิวเคลือบของก็อกน้ำที่ตอดอยู่กับอ่างล้างหน้า ก็ควรทำความสะอาดบ่อยๆ โดยใช้ฟองน้ำกับสบู่ชนิดเหลว หรือน้ำยาที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับการล้างเเก้ว ทำความสะอาดให้ทั่วเเล้วล้างด้วยน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้เเห้งโดยใช้ผ้านุ่มผิวละเอียดอ่อนที่ไม่เเห้งเกินไป

และสำหรับคราบหมองบนก๊อกน้ำ ที่มาจากคราบไขมัน วิธีทำความสะอาดง่ายๆเพียงเช็ดด้วยน้ำส้มสายชูที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ล้างคราบไขมัน ให้ก๊อกน้ำมีความสะอาดเหมือนใหม่แล้วหรืออาจจะใช้มะนาวหั่นครึ่ง ค่อยๆ ถูก ก็จะได้กลิ่นสดชื่นเพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำ แม่บ้านจะต้องหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อสุขอนามัยที่ดีของคนในบ้าน เพื่อให้เราได้ห่างไกลจากเชื้อโรคที่สะสมอยู่บริเวณห้องน้ำและทำให้เรามีความปลอดภัยในการใช้ห้องน้ำ ลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากคราบสกปรก อย่างไรก็ตาม

ทางเรายังมีบริการทำความสะอาดในเขตควบคุมเชื้อโรคเพราะเราเล็งเห็นถึงสุขอนามัยของลูกค้า เพราะการทำความสะอาดทั่วไปนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอจึงต้องมีการทำความสะอาดแบบควบคุมการติดเชื้อเพื่อสุขอนามัยขั้นสูงที่ได้รับมาตรฐานและสามารถป้องกันการแพร่เชื้อได้นอกจากนี้ ทางเรายังได้คัดสรรตั้งแต่การเลือกน้ำยาล้างห้องน้ำ ให้เหมาะกับพื้นผิวเหล่านั้นขัดล้างและตรวจเช็คอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้ปลอดภัยจากเชื้อโรค
ที่อาจจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากเชื้อโรคที่สะสมเป็นเวลานานได้

14
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



หน้า: [1] 2 3 ... 45