แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 55
1
การจัดฟันเด็ก เจ็บหรือไม่

ในเรื่องของการเข้ารับการรักษาฟันในวัยเด็ก หลายคนก็เกิดความกลัวที่เข้ารับพบกับทันตแพทย์ เพราะการเข้ารับการรักษาฟันไม่ว่าจะเป็นการถอนฟัน การอุดฟัน อาจจะทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวดในระหว่างการรักษา บางคนอาจจะฝังใจทำให้เกิดความกลัว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจะต้องทำการพูดคุยหรือปลูกฝังให้เด็กได้ทราบถึงวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ให้เด็กได้ตระหนักถึงข้อดีของการดูแลรักษาสุขภาพฟัน และให้รู้ถึงข้อเสียของปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กดูแลสุขภาพช่องปากและฟันไม่ดี  คอยบอกให้เด็กได้ทราบว่า การที่เราจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีและแข็งแรงนั้น เราจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และถ้าหากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณเตือนที่กำลังบ่งบอกว่ากำลังจะมีปัญหาในเรื่องของปัญหาช่องปากและฟัน ก็จะต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในวัยเด็กนั้น การเข้ารับการรักษาฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตั้งแต่บุตรหลานของท่านมีฟันน้ำนมเลยทีเดียว

เนื่องจากฟันน้ำนมนั้น มีผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อย่าคิดว่าฟันน้ำนมไม่มีความสำคัญ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ละเลยในการสอนให้บุตรหลานของท่านดูแลฟันน้ำนม เพราะคิดว่า เดี๋ยวฟันแท้ก็งอกขึ้นมา เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการรักษาความสะอาดฟันน้ำนมในเด็ก ก็มีความสำคัญไม่แพ้ฟันแท้เลย เพราะถ้าหากฟันแท้งอกขึ้นมาแล้วเกิดปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟันหรือลักษณะของฟัน นั่นก็คืออุปสรรคอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะอาจจะทำให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพฟันที่ไม่ดี มีฟันผุได้ เนื่องจากรูปร่างของฟันก็ส่งผลต่อการทำความสะอาดฟันเช่นกัน ดังนั้นหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของลักษณะฟัน ก็ควรที่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟัน

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ความร่วมมือในการเข้ารับการรักษา เพราะเด็กหลายคนอาจจะมีความกลัวในเรื่องของการเข้ารับการรักษาที่เกี่ยวกับช่องปากและฟัน อาจจะกลัวเจ็บจึงไม่ยอมที่จะเข้ารับการจัดฟัน  แถมยังทำให้มีการจำกัดในเรื่องของการรับประทานอาหารและอาจจะส่งผลต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟันด้วย ในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก เด็กๆอาจจะคิดว่า การจัดฟันนั้น ทำให้รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการจัดฟัน ซึ่งต้องบอกเลยว่าการจัดฟันนั้น อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับผลการรักษาแล้วนั้น ถือว่าคุ้มค่ามาก และวันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กว่ามีความเจ็บปวดมากน้อยแค่ไหน และเราจะมีวิธี


การพูดอย่างไรเพื่อให้เด็กได้คลายความกังวลและตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากมาก ขั้นแรกอาจจะมีการตรวจเช็คประเมินช่องปาก เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้ทำการวางแผนการรักษา หากเด็กมีฟันผุหรือปัญหาต่างๆ ก็อาจจะทำให้ทันตแพทย์พิจารณาให้เด็กเข้ารับการถอนฟันหรืออุดฟันเสียก่อน เพื่อที่ได้ไม่เกิดปัญหาระหว่างการจัดฟัน

ซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อดีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟันผุตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้การจัดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย หลังจากการเข้ารับการถอนฟัน แต่การเจ็บปวดในเรื่องของการถอนฟัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจออยู่แล้ว หลังจากนั้น 2-3 วันอาการเจ็บปวดก็จะหายไป เมื่อทันตแพทย์ติดเครื่องมือการจัดฟันภายในช่องปาก ก็อาจจะทำให่รู้สึกตึงๆ ในช่วงแรก หลังจากนั้นก็จะรู้สึกชินไปเองที่มีเครื่องมืออยู่ภายในช่องปาก ต้องบอกเลยว่า การจัดฟันในเด็กนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดในระยะแรก แต่ก็ถือว่าช่วยแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้อย่างดีเลยทีเดียว

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลหรือปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิก ได้ ทางเราจะช่วยแนะนำในเรื่องของการพูดคุยกับเด็ก เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาในเรื่องของฟันว่าสุขภาพช่องปากและฟันถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา และทางคลินิก เราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งเต้านม (Breast cancer)

มะเร็งเต้านม พบเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในผู้หญิง เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยสาว และพบมากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะพบในช่วงอายุมากกว่า 40 ปี มะเร็งเต้านมพบว่ามีความสัมพันธ์กับการมีระดับเอสโทรเจนในเลือดสูงเป็นเวลานาน

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างปัจจัยทางกรรมพันธุ์กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

พบว่าร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ คือ มียีนที่เรียกว่า "ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene, BRCA)" ซึ่งสามารถถ่ายทอดให้ลูกหลาน ผู้ที่มียีนนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

พบว่าโรคนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่

    มีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
    มีประวัติว่ามารดาหรือพี่น้องเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ถ้ามีญาติเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน ยิ่งมากคนก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น
    การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี
    การมีภาวะหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี
    การมีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปี หรือการไม่มีบุตร
    การใช้ฮอร์โมนทดแทนหลังวัยหมดประจำเดือนนานเกิน 4 ปี
    การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อยและใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมก่อนวัยหมดประจำเดือน
    ภาวะอ้วน
    การสูบบุหรี่
    การดื่มสุราจัด
    การได้รับรังสีตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยสาว

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการชัดเจน ต่อมาจะมีอาการคลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (จากเดิมที่ปกติ) เต้านมใหญ่ขึ้นหรือรูปทรงผิดปกติ มีน้ำเหลืองหรือเลือดออกจากหัวนม หรือผิวหนังตรงเต้านมมีสีแดงและขรุขระคล้ายผิวส้ม ในระยะท้ายอาจคลำได้ก้อนน้ำเหลืองที่รักแร้


ภาวะแทรกซ้อน

มะเร็งเต้านมที่เป็นก้อนโตขึ้นอาจทำให้มีอาการเจ็บปวดทรมาน

ในระยะท้าย มะเร็งมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน อาทิ

    ปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ภาวะมีน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอด หายใจลำบาก
    ตับ ทำให้เจ็บใต้ชายโครงขวา อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลืองตาเหลือง มีน้ำในท้อง (ท้องมาน)
    กระดูก ทำให้ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ (ขาชาและเป็นอัมพาต มีความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ) ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (ทำให้เป็นนิ่วไต ไตวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ สมองเสื่อม หมดสติ)
    สมอง ทำให้ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก หมดสติ สมองเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammogram) และการผ่าหรือเจาะเอาชิ้นเนื้อเต้านมไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (breast  biopsy)

ถ้าพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อดูการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์, เอกซเรย์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์,  การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI), การตรวจสแกนกระดูก, การตรวจเพทสแกน (PET scan) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเต้านม (อาจตัดเต้านมออกบางส่วน หรือตัดออกทั้งหมด) พร้อมกับเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออก

นอกจากนี้จะให้การรักษาเสริมด้วยรังสีบำบัด เคมีบำบัด ฮอร์โมนบำบัด (โดยให้กินยาทาม็อกซิเฟน-tamoxifen ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเอสโทรเจน) อิมมูนบำบัด (โดยการให้อินเตอร์เฟอรอน หรือ monoclonal antibody) และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drug)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ได้ผลดี ถ้าเป็นระยะแรกมักจะมีชีวิตอยู่ได้นานหรือหายขาด (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี มากกว่าร้อยละ 95) แต่ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ก็มักจะได้ผลไม่สู้ดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 20-25)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนที่เต้านม หรือสังเกตเห็นเต้านมมีลักษณะผิดปกติ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก  กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มสุราจัด และการใช้เอสโทรเจนเป็นเวลานาน
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    ลดการบริโภคเนื้อแดง
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นเลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง (พบว่ามารดาที่ให้บุตรดื่มนมตัวเองนานเกิน 2 ปี ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมลง)
    ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตรวจเลือดหา "ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene, BRCA)" และผู้ที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้กินยาป้องกัน ได้แก่ ยาต้านเอสโทรเจน (เช่น tamoxifen, raloxifene เป็นต้น) หรือในบางกรณีแพทย์อาจป้องกันด้วยการผ่าตัดเต้านมออกไป


ข้อแนะนำ

1. เนื่องจากการค้นพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนควรตรวจเต้านมด้วยตนเอง พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมหรือถ่ายภาพรังสีเต้านม ตามเกณฑ์อายุดังนี้

    อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างน้อยเดือนละครั้ง
    อายุ 30-39 ปี ควรพบแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรม เพื่อตรวจเต้านมทุก 3 ปี และอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละครั้ง
    อายุระหว่าง 40-44 ปี ควรเริ่มรับการตรวจหามะเร็งระยะแรกเริ่ม (โดยที่ยังเป็นปกติดี คือ ยังคลำไม่ได้ก้อนที่เต้านมแต่อย่างใด) ด้วยการถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammography) เป็นครั้งแรก, อายุ 45-54 ปี ควรตรวจปีละครั้ง และอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุก 1-2 ปี

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว) อาจจำเป็นต้องตรวจถี่กว่าปกติ

2. หากตรวจพบก้อนที่เต้านม ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ไม่ควรนิ่งนอนใจ ปล่อยปละละเลย หรือกลัวและไม่กล้าไปตรวจกับแพทย์ ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับการเยียวยารักษาให้ได้ผลดีตั้งแต่แรก จริง ๆ แล้วก้อนที่เต้านมไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งเสมอไป แต่เนื่องจากการตรวจคลำด้วยมือไม่อาจแยกว่าเป็นเนื้อดีหรือร้ายได้ จำเป็นต้องให้แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี


การตรวจเต้านมด้วยตนเอง

1. การคลำเต้านมในท่ายืน ใช้ฝ่ามือด้านตรงข้ามคลำตรวจเต้านมทีละข้าง สังเกตดูว่ามีก้อนอะไรดันอยู่หรือสะดุดใต้ฝ่ามือหรือไม่ (มะเร็งของเต้านมมักจะพบที่ส่วนบนด้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วนอื่น จึงควรสังเกตดูบริเวณนี้ให้ละเอียด)

2. และ 3. การดูเต้านมตรงหน้ากระจกเงา ในท่ามือเท้าเอวและท่าชูมือขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตดูลักษณะเต้านมทั้ง 2 ข้างโดยละเอียด เปรียบเทียบดูขนาด รูปร่างของหัวนม และการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังทุกส่วนของเต้านม (เช่น รอยนูนขึ้นผิดปกติ รอยบุ๋ม หัวนมบอด ระดับของหัวนมไม่เท่ากัน)

4. การคลำเต้านมในท่านอน ควรใช้หมอนหรือผ้าห่มหนุนตรงสะบัก ให้อกด้านที่จะตรวจแอ่นขึ้น ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ

5. (ในท่านอน) ใช้ฝ่ามือข้างซ้ายคลำเต้านมข้างขวาโดยคลำไปรอบ ๆ หัวนมเป็นรูปวงกลม ไล่จากด้านนอกเข้ามายังหัวนม

6. แล้วใช้นิ้วบีบหัวนม สังเกตดูว่ามีน้ำเหลือง หรือเลือดออกจากหัวนมหรือไม่ ให้ทำการตรวจเต้านมข้างขวาโดยใช้มือซ้าย ทำซ้ำข้อ 4, 5, 6

3
สู่การให้บริการที่ปลอดภัย มาตรฐานความปลอดภัยของ รถรับจ้าง ยะลา

ยินดีต้อนรับทุกท่านที่กำลังมองหาบริการขนย้ายที่ปลอดภัยและรวดเร็วในยะลา! เราคือทีมรถรับจ้างขนของ ที่คุณสามารถเชื่อถือได้ในการให้บริการขน ย้ายบ้าน หอ และคอนโด ด้วย รถกระบะ และ รถหกล้อ ที่มีความพร้อมที่จะช่วยท่านย้ายทรัพย์สินของคุณไปยังที่หมายที่ต้องการ

    บริการขนย้ายบ้าน : เรามีทีมคนขับที่เชี่ยวชาญและเตรียมพร้อมที่จะดูแลทรัพย์สินของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ตั้งแต่การบรรจุของพวกเขาจนถึงการนำส่งที่ปลอดภัย ทางเรามีความปลอดภัยเป็นหลักและทำให้ท่านไม่ต้องกังวลเลย!
    บริการขนย้ายหอและคอนโด : ไม่ว่าคุณจะย้ายไปหอหรือคอนโด เรามี รถกระบะรับจ้าง และ รถหกล้อรับจ้าง ที่พร้อมบริการ ทำให้การย้ายทรัพย์สินของคุณเป็นเรื่องง่ายและสะดวก!


มาตรฐานความปลอดภัยในการขนส่ง : การทำให้รถรับจ้างขนของในยะลาเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสูงสุด

การทำให้ รถรับจ้างขนของยะลา เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสูงสุดเผชิญกับการต้องรับมือกับหลายปัจจัยที่มีผลต่อความปลอดภัยขณะขนส่งสินค้า ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดและมีการดำเนินงานที่ถูกต้อง รถรับจ้างขนของสามารถเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงสุดได้ดังนี้

    การบำรุงรักษารถ : การตรวจสอบและบำรุงรักษารถเป็นประจำเพื่อรักษาสภาพที่ดีของรถ, รวมถึงระบบเบรก ล้อ และส่วนประกอบที่สำคัญ การบำรุงรักษาเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
    การฝึกอบรมและทักษะของคนขับ : คนขับที่ได้รับการฝึกอบรมที่ดีเกี่ยวกับการขนส่งและมีทักษะในการป้องกันอุบัติเหตุมีบทบาทสำคัญ. การเน้นที่การจัดการอุบัติเหตุและปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
    เทคโนโลยีและระบบควบคุม : การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เซ็นเซอร์ และระบบควบคุมอัตโนมัติช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ระบบ GPS และการติดตามทำให้สามารถตรวจสอบตำแหน่งรถและการเดินทางได้อย่างแม่นยำ
    การป้องกันการโกงและการปลอมแปลง : มีมาตรการเพื่อป้องกันการโกงและการปลอมแปลงในการขนส่งสินค้า ระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหายและการขโมยสินค้า
    การตรวจสอบและควบคุมความปลอดภัย : มีกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวด รวมถึงการตรวจสอบระบบเบรก ไฟเลี้ยว และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่น ๆ ในรถ นอกจากนี้ การควบคุมที่สามารถปรับให้เหมาะสมตามสถานการณ์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพ

โดยรวม การปรับตัวกับมาตรฐานความปลอดภัยนี้ช่วยให้ รถรับจ้างขนของยะลา เป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงสุดและเพิ่มความน่าเชื่อถือในการขนส่งสินค้ารถ 6 ล้อรับจ้างขนของ ต่างจังหวัด

   
การตรวจสอบและบำรุงรักษารถ : ความสำคัญของการรักษาสภาพรถและอุปกรณ์เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย

การตรวจสอบและบำรุงรักษารถรับจ้างขนของ มีความสำคัญมากทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ดังนี้คือคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของกระบวนการนี้

    ความปลอดภัย : การรักษาสภาพรถรับจ้างขนของเป็นก้าวสำคัญในการรักษาความปลอดภัยขณะขนส่งสินค้า การตรวจสอบระบบเบรก ไฟเลี้ยว และระบบควบคุมทั้งหมดช่วยให้คนขับรถมั่นใจในประสิทธิภาพของรถในสถานการณ์ทุกๆ ครั้งที่ออกพร้อมสินค้า
    ประสิทธิภาพในการทำงาน : รถที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอมักมีประสิทธิภาพที่สูง การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง การตรวจสอบระบบทุกๆ 3,000-5,000 กิโลเมตร และการรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้รถสามารถทำงานได้สมบูรณ์และประสิทธิภาพ
    ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ : การตรวจสอบและบำรุงรักษารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ รถที่มีสภาพดีและมีการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมมีโอกาสน้อยกว่าที่จะเกิดปัญหาที่สามารถสร้างอุบัติเหตุได้
    การประหยัดค่าใช้จ่าย : การรักษาสภาพรถทำให้สามารถป้องกันปัญหาและซ่อมแซมรถที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมาก การทำบริการประจำและการเปลี่ยนอะไหล่ที่เหลือเชื่อซึ่งมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงในการเสียเวลาและเงิน
    ยาวนานของชีวิตการใช้งาน : การรักษาสภาพรถทำให้รถมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การดูแลรักษาอย่างดีทำให้สามารถใช้งานรถได้นานๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนรถบ่อยๆ ซึ่งเป็นการลดการใช้ทรัพยากรทั้งของรถและสภาพแวดล้อม

การตรวจสอบและบำรุงรักษารถรับจ้างขนของไม่เพียงแต่ทำให้รถมีประสิทธิภาพที่สูง แต่ยังเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นขณะขนส่งและส่งผลให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

   
ฝึกอบรมและประสบการณ์ของคนขับ : การพัฒนาทักษะและความตั้งใจที่เน้นที่ความปลอดภัย

ฝึกอบรมและประสบการณ์ของคนขับเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความปลอดภัยในการขนส่ง การพัฒนาทักษะและความตั้งใจที่เน้นที่ความปลอดภัยมีความสำคัญไม่น้อยเลย

การฝึกอบรมช่วยเสริมสร้างความรู้และทักษะที่จำเป็นในการบังคับมาตรฐานความปลอดภัย นอกจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งช่วยให้คนขับเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างถูกต้อง

การสร้างประสบการณ์ในการขนส่งสินค้าเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาความปลอดภัย คนขับที่มีประสบการณ์มักมีความคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและมีทักษะในการจัดการกับสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน

ความตั้งใจที่เน้นที่ความปลอดภัยมีผลมาจากการมีความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของตนเอง สินค้าที่ขนส่ง และผู้ใช้ทางถนน การรักษาความตั้งใจในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยช่วยสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยภายในองค์กรจ้างรถขนของย้ายบ้าน

ทั้งนี้ การฝึกอบรมและประสบการณ์ที่ได้รับจะช่วยเพิ่มความเชี่ยวชาญและความมั่นใจในการขนส่ง ส่งผลให้คนขับมีการพึงพอใจในการทำงานและลดความเครียดในการดำเนินงาน ทั้งนี้ มีการสนับสนุนและสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากคนขับท่านอื่นๆ เป็นการสร้างชุมชนที่มีความปลอดภัยและเติบโตอย่างยั่งยืนในวงการขนส่ง

เลือก บริการขนย้ายของยะลา เราเพื่อความสะดวกสบายและความมั่นใจในการย้ายถิ่นที่อยู่ของคุณ ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคาที่เหมาะสมและพบกับบริการที่คุณไม่ผิดหวัง

4
การจัดฟันเด็ก ช่วงที่ยังมีฟันน้ำนม แตกต่างจากช่วงที่มีฟันแท้ขึ้นครบแล้วอย่างไร

ฟันน้ำนมของเด็ก ถือว่ามีบทบาทสำคัญในลำดับขั้นพัฒนาการของเด็กเลยทีเดียว นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่จะเกิดฟันแท้มาแทนที่ ยังช่วยในเรื่องลักษณะทางกายภาพให้มีโครงสร้างร่างกายเป็นปกติ มีฟันไว้ช่วยบดเคี้ยวอาหาร หากฟันน้ำนมมีสุขภาพดี ไม่ผุกร่อนหรือติดเชื้อ ก็จะส่งเสริมพัฒนาการฟันแท้ที่จะงอกตามมาให้สมบูรณ์แข็งแรงไปด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลรักษาความสะอาดฟันของเด็กให้ดี

เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้เด็กแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน แปรงฟันให้เด็ก หรือช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีแปรงฟันที่ถูกต้อง รักษาความสะอาดของช่องปากอยู่เสมอ บ้วนปาก แปรงฟัน หลังรับประทานอาหาร หรืออาจใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันเพิ่มเติม และควรให้เด็กรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ และจำกัดปริมาณอาหารหรือขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีประโยชน์ เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุ นอกจากนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาฟันในอนาคตของเด็ก หรือถ้าเด็กมีปัญหาในเรื่องของฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเด็กๆเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องของความผิดปกติของฟัน

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้แทบทุกกรณี ทั้งยังช่วยทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งการจัดฟันในเด็กที่มีอายุ 4-7 ปี เหมาะสำหรับการจัดฟันด้วยเครื่องมือ EF line เพราะเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ


ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโตซึ่ง ซึ่งสามารถแกไขปัญหาฟันได้ตั้งแต่เด็กยังมีฟันน้ำนม ซึ่งพ่อแม่ที่อยากพาเด็กเข้ารับการจัดฟัน บางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่า การพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในช่วงฟันน้ำนมกับช่วงที่มีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว แตกต่างกันอย่างไร วันนี้จะมาพูดถึงความแตกต่างของการจัดฟันในเด็ก ในช่วงฟันน้ำนมและฟันแท้ว่ามีความแตกต่างอย่างไร และการจัดฟันในเด็กช่วงไหนดีที่สุด เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก

จริงๆแล้วการจัดฟันในเด็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถนำเด็กๆ อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ถ้าเด็กในวัยนี้เหมาะสำหรับการจัดฟัน EF Line อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในวัยเด็ก หรือระยะชุดฟันผสมเป็นระยะที่ฟันหน้าและฟันกรามถาวรซี่แรกขึ้นเรียบร้อยแล้ว ควรจัดฟัน เพื่อแก้นิสัยหรือความผิดปกติที่เกิดจากขากรรไกร โดยเครื่องมือชักนำและปรับเปลี่ยนทิศทางการเจริญเติบโตของขากรรไกร ต่อมาในช่วงวัยรุ่น หรือระยะฟันถาวร เป็นระยะที่ฟันถาวรทุกซี่ยกเว้นฟันกรามซี่ที่ 3 ขึ้นเรียบร้อยแล้ว เป็นระยะที่เหมาะสมในการจัดฟันเพื่อแก้ไขตำแหน่งฟันที่มีความผิดปกติ

และในวัยผู้ใหญ่การจัดฟันจะสามารถแก้ไขได้เฉพาะความผิดปกติของตำแหน่งฟัน ดังนั้น การจัดฟันในด็กตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนมจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะสามารถแก้ไขความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และช่วยป้องกันฟันที่ขึ้นอย่างผิดปกติด้วย

หากใครสนใจพาบุตรหลานของ่ทานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการจัดฟันได้ โดยติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนที่สุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง

5
รถขนของไปต่างจังหวัด รับมือกับ ขนน้องแมวบนเฟอร์นิเจอร์อย่างไร สำหรับมือใหม่ที่พึ่งเลี้ยง

การเลี้ยงแมวถือเป็นหนึ่งในความสุขที่หลายคนเลือกเติมเต็มให้กับชีวิต เพราะน้องแมวมีทั้งความน่ารัก ขี้อ้อน และเป็นเพื่อนคลายเหงาได้อย่างดี แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยง อาจจะยังไม่คุ้นชินกับปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นตามมาเสมอ นั่นก็คือ ขนแมว โดยเฉพาะเวลาที่ติดตามเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นโซฟาผ้า เก้าอี้ หรือที่นอน หลายบ้านถึงขั้นต้องหาวิธีรับมือกันอย่างจริงจัง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ ขนแมวอาจสร้างทั้งความรำคาญและปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน

ในฐานะที่เองมีโอกาสทั้งเลี้ยงแมวและทำงานเกี่ยวกับการ ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ โดยทีม รถรับจ้างฉะเชิงเทราของเรา ซึ่งแน่นอนว่าเราเคยช่วยขนของไปหลายบ้านที่เลี้ยงสัตว์ ทำให้ได้เห็นหลากหลายวิธีจัดการกับปัญหาขนแมวบนเฟอร์นิเจอร์ วันนี้จึงอยากนำมาบอกเล่าและแนะนำสำหรับมือใหม่ให้ลองนำไปใช้กันค่ะ


ทำไมขนแมวจึงเป็นปัญหากับเฟอร์นิเจอร์

แมวเป็นสัตว์ที่ผลัดขนตามธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนหรือช่วงผลัดขนประจำปี ขนจะหลุดออกมามากกว่าปกติ และแน่นอนว่าเฟอร์นิเจอร์ในบ้านคือจุดที่ขนเหล่านี้ไปติดสะสม ไม่ว่าจะเป็นเบาะผ้า พรม หรือโซฟา รถรับจ้างฉะเชิงเทรา ต้องบอกว่าถ้าไม่ดูแลให้ดีจะสะสมจนทำความสะอาดยาก ที่สำคัญสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ ขนแมวเหล่านี้อาจกระตุ้นอาการจาม คันตา หรือหายใจติดขัดได้ค่ะ


วิธีจัดการขนแมวบนเฟอร์นิเจอร์สำหรับมือใหม่

1. ใช้ลูกกลิ้งกาวกำจัดขน

วิธีเบสิกและง่ายที่สุดคือการใช้ ลูกกลิ้งกาว กลิ้งไปบนเฟอร์นิเจอร์ ขนแมวจะติดออกมาอย่างเห็นผลทันที ลูกกลิ้งประเภทนี้หาได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้า ราคาก็ไม่แพง เหมาะสำหรับใช้ทุกวันก่อนนั่งหรือก่อนนอน


2. เครื่องดูดฝุ่นหัวพิเศษ

รถรับจ้างขนของ ของเราเห็นว่าหลายบ้านลงทุนซื้อเครื่องดูดฝุ่นที่มีหัวดูดขนสัตว์โดยเฉพาะ เพราะสามารถดูดได้ลึกถึงเส้นใยผ้า เหมาะกับโซฟาหรือพรมที่ทำความสะอาดยากกว่า การใช้เครื่องดูดฝุ่นสม่ำเสมอไม่เพียงแค่ช่วยให้บ้านสะอาด แต่ยังช่วยลดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ได้ด้วย


3. ใช้ถุงมือยางหรือผ้าชุบน้ำหมาด

เป็นเคล็ดลับที่หลายคนอาจไม่รู้ เพียงแค่ใส่ถุงมือยางแล้วถูเบา ๆ บนโซฟาหรือเก้าอี้ ขนแมวจะติดเป็นก้อนและสามารถเก็บออกได้ง่าย หรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ถูในทิศทางเดียวกันก็ได้ผลดีเช่นกันรถรับจ้างขนของ


4. ผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์

หากน้องแมวชอบขึ้นไปนอนเล่นบนโซฟา ควรหาผ้าคลุมมาปูไว้ วิธีนี้ช่วยลดปริมาณขนที่ไปติดกับเฟอร์นิเจอร์โดยตรง เวลาจะทำความสะอาดก็เพียงแค่ซักผ้าคลุมเท่านั้น


5. หมั่นแปรงขนแมว

อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้มากคือ การแปรงขนให้แมวเป็นประจำ การแปรงช่วยกำจัดขนที่หลุดร่วงก่อนที่จะไปติดบนเฟอร์นิเจอร์ แถมยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องแมวด้วย


เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับมือใหม่

    จัดมุมนอนให้แมวโดยเฉพาะ เช่น ที่นอนแมวหรือเบาะนุ่ม ๆ เพื่อดึงความสนใจไม่ให้แมวขึ้นไปบนเฟอร์นิเจอร์บ่อยนัก
    ใช้สเปรย์กำจัดกลิ่นและขนสัตว์ที่ปลอดภัยกับแมว เพื่อช่วยลดการสะสมของขนและกลิ่นอับ
    หากเลี้ยงแมวหลายตัว ควรหมั่นดูแลความสะอาดบ่อยขึ้น เพราะขนจะมากเป็นพิเศษ

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงแมว อย่าเพิ่งกังวลเกินไปกับเรื่องขนแมวบนเฟอร์นิเจอร์ เพราะมีหลายวิธีที่สามารถจัดการได้ ซึ่ง ขนส่งของได้แชร์ไว้ข้างต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ลูกกลิ้ง เครื่องดูดฝุ่น ถุงมือยาง หรือการหมั่นแปรงขนให้แมว ที่สำคัญคือการดูแลอย่างสม่ำเสมอและทำเป็นกิจวัตร จะช่วยให้บ้านและเฟอร์นิเจอร์สะอาดอยู่เสมอ

จากประสบการณ์ในการขนย้าย รถรับจ้างฉะเชิงเทรา เราได้เห็นว่าการเตรียมเฟอร์นิเจอร์ให้สะอาด ไม่เพียงทำให้บ้านใหม่ดูน่าอยู่ขึ้น แต่ยังช่วยให้การขนย้ายราบรื่นไร้กังวล ดังนั้นไม่ว่าจะเลี้ยงแมวมากี่ตัว หากมีวิธีจัดการที่เหมาะสม ขนแมวก็ไม่ใช่ปัญหาที่น่ากลัวอีกต่อไปค่ะ

รถรับจ้างฉะเชิงเทรา เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคุณผู้อ่านนะคะ เป็นเกร็ดเล็กๆ สำหรับคนรักสัตว์ และรักเฟอร์นิเจอร์ด้วยค่ะ แต่สำหรับใครที่กำลังมองหา รถบรรทุก เพื่อให้ไปช่วยขนย้ายของ และสัตว์เลี้ยงที่คุณรักด้วย อย่าลืมนึกถึงเรานะคะ ผู้ช่วยเรื่องขนย้าย สะดวก สบาย พร้อมความปลอดภัย ตลอดเส้นทางค่ะ เรื่องขนย้ายง่ายกว่าที่คิด ติดต่อเราได้เลย

6
บริหารจัดการอาคาร: วิธีการเช็คท่อน้ำในบ้านเพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้อยู่อาศัย

การตรวจสอบและดูแลรักษาท่อน้ำในบ้านเพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้อยู่อาศัยนั้นสำคัญมากค่ะ เพราะท่อน้ำไม่ได้เกี่ยวข้องแค่การรั่วซึม แต่ยังรวมถึงคุณภาพของน้ำที่เราใช้และอากาศในบ้านด้วย นี่คือวิธีการเช็คท่อน้ำในบ้านเพื่อสุขอนามัยที่ดีค่ะ

1. ตรวจสอบคุณภาพน้ำและสุขภาพท่อ
การดูแลท่อเพื่อสุขอนามัยเน้นที่การป้องกันการสะสมของเชื้อโรค ตะกอน และการปนเปื้อน

สิ่งที่ต้องเช็ค                          วิธีการตรวจสอบและแก้ไข                                                ผลต่อสุขอนามัย

สี กลิ่น และรสชาติของน้ำ   สังเกต: หากน้ำมี สีสนิม (สีน้ำตาล/เหลือง) หรือมี กลิ่นเหม็นอับ/กลิ่นไข่เน่า (กำมะถัน) แสดงว่ามีปัญหาในระบบท่อหรือแหล่งน้ำ   สารเคมี, แบคทีเรีย, และเชื้อโรค (เช่น Legionella) อาจสะสมอยู่ในน้ำหรือเครื่องทำน้ำอุ่น

การอุดตันของท่อระบายน้ำ    สังเกตว่าน้ำไหลลงท่อช้าผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะใน อ่างล้างจาน (มีไขมัน) และ ห้องอาบน้ำ (มีเส้นผม)   ของเสียที่ค้างในท่อทำให้เกิด กลิ่นไม่พึงประสงค์ และเชื้อโรคที่ย้อนกลับเข้าสู่พื้นที่ใช้สอย

ตะกอนและคราบในก๊อกน้ำ    หมุนหรือถอด หัวก๊อกน้ำ (Aerator) ออกมาดู หากมีตะกอน หินปูน หรือสิ่งสกปรกติดอยู่ ให้ใช้แปรงสีฟันเก่าขัดทำความสะอาด   ตะกอนที่สะสมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียและเชื้อโรคขนาดเล็ก

การรั่วซึมที่มองไม่เห็น    ตรวจสอบรอยรั่วตามผนังหรือใต้พื้น (ดูจากมาตรวัดน้ำ) และกลิ่นอับชื้น   การรั่วซึมทำให้เกิด ความชื้นสะสม นำไปสู่การเกิด เชื้อรา (Mold) ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้


2. การดูแลเฉพาะจุดเพื่อสุขอนามัย

ห้องน้ำและท่อระบายน้ำทิ้ง
ทำความสะอาดตะแกรงดักกลิ่น/ผม: ทุกสัปดาห์ ให้ยกตะแกรงระบายน้ำในห้องน้ำและห้องอาบน้ำ ทำความสะอาดเส้นผมและสิ่งสกปรกออกให้หมดจ

ใช้สารธรรมชาติล้างท่อ: ทุกเดือนให้เท น้ำส้มสายชูผสมเบกกิ้งโซดา ลงในท่อระบายน้ำ (ทิ้งไว้ 30 นาที) แล้วตามด้วยน้ำร้อน เพื่อฆ่าเชื้อและกำจัดคราบไขมันบางส่วน


ห้องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้า

กำจัดคราบในอ่างล้างจาน: อย่าปล่อยให้จานชามสกปรกค้างคืน และทำความสะอาดคราบอาหารและเมือกที่เกาะอยู่รอบ ๆ ปากท่อระบายน้ำเป็นประจำ

ทำความสะอาดเครื่องทำน้ำอุ่น: หากใช้เครื่องทำน้ำอุ่นแบบมีถัง ควรให้ช่างทำความสะอาดถังเก็บน้ำเป็นระยะเพื่อป้องกันการสะสมของตะกอนและเชื้อแบคทีเรีย

การไหลเวียนของอากาศ
ระบายอากาศในห้องน้ำ: หลังใช้งานห้องน้ำ ควร เปิดพัดลมระบายอากาศ หรือ เปิดหน้าต่าง ให้ความชื้นระบายออกไป เพื่อป้องกันเชื้อราที่เติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อับชื้น

7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดศีรษะจากความเครียด (Tension-type headache/TTH)

ปวดศีรษะจากความเครียด* (ปวดศีรษะแบบตึงเครียด ก็เรียก) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย ประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ จะมีสาเหตุจากโรคนี้

โรคนี้พบได้ในทุกวัย มักเริ่มอาการครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมากที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-2 เท่า

* มีชื่อเรียกอื่น เช่น tension headache, muscle contraction headache, psychogenic headache, psychomyogenic headache

สาเหตุ

แต่เดิมเชื่อว่าเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้า ปัจจุบันพบว่า ภาวะดังกล่าวเป็นอาการแสดงของโรคไม่ใช่สาเหตุ ส่วนสาเหตุและกลไกการเกิดโรคที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากการกระตุ้นของสิ่งเร้าที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทเกิดขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นที่บางส่วนของไขสันหลังหรือเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5) แล้วส่งผลกลับมาที่เนื้อเยื่อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสารส่งผ่านประสาท (เช่น ซีโรโทนิน เอนดอร์ฟิน โดพามีน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ

ส่วนใหญ่มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด (มักจะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ หลังจากคร่ำเคร่งกับการงาน) หิว (กินอาหารผิดเวลา) อดนอน ตาล้าหรือเพลีย (eyestrain)

นอกจากนี้ยังอาจพบร่วมกับโรคไมเกรน โรควิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์หรือการปรับตัว


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อ ๆ หนัก ๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะหรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด นาน 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะเป็นนานเกิน 24 ชั่วโมง บางรายอาจนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือน โดยอาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ส่วนใหญ่จะปวดเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนน้อยอาจรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อกิจวัตรประจำวัน ผู้ป่วยจะไม่มีคลื่นไส้ อาเจียน และไม่เป็นมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกายแบบไมเกรน

ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้า ๆ บางรายอาจปวดตอนบ่าย ๆ หรือเย็น ๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมาก หิวข้าว หรือขณะมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีผลต่อจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล เบื่องาน แยกตัวจากสังคม เสียสมาธิ กระทบต่อการงานหรือการเรียน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก

การตรวจร่างกายมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

บางรายอาจพบอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อหรือจุดที่กดเจ็บในบริเวณรอบ ๆ ศีรษะ ท้ายทอย หลังคอ หรือไหล่

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคปวดศีรษะจากความเครียด

1. มีอาการปวดศีรษะมาอย่างน้อย 10 ครั้ง ซึ่งมีลักษณะเข้าได้กับข้อ 2-4*

2. ปวดแต่ละครั้งนาน 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์

3. มีลักษณะต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อย่าง

    ปวดแบบตื้อ ๆ หนัก ๆ หรือบีบรัด ไม่ปวดตุบ ๆ
    รุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง (ไม่เป็นอุปสรรคต่อกิจวัตรประจำวัน)
    ปวดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง
    ไม่ปวดมากขึ้นเวลาขึ้นบันได หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย

4. มีลักษณะต่อไปนี้ทั้ง 2 อย่าง

    ไม่มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน
    ไม่มีอาการกลัวแสง และกลัวเสียง หรือมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

* ถ้ามีอาการปวดศีรษะน้อยกว่า 15 วัน/เดือน เรียกว่า โรคปวดศีรษะจากความเครียดชนิดครั้งคราว (episodic tension-type headache) แต่ถ้ามีอาการมากกว่า 15 วัน/เดือน เรียกว่า โรคปวดศีรษะจากความเครียดชนิดเรื้อรัง (chronic tension-type headache)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. แนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว และให้ยาแก้ปวด หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

ถ้ามีอาการนอนไม่หลับ ให้ยานอนหลับ กินก่อนนอน

ในรายที่มีความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า ก็ให้การดูแลรักษาแบบเดียวกับโรคกังวลทั่วไป หรือโรคซึมเศร้า

2. ถ้าปวดรุนแรง ปวดถี่หรือปวดแรงขึ้นทุกวัน ปวดมากตอนดึกหรือเช้ามืดจนทำให้สะดุ้งตื่น เป็น ๆ หาย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนานเกิน 2 สัปดาห์ หรือสงสัยว่าอาจมีสาเหตุร้ายแรง แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

3. ถ้าเป็นโรคปวดศีรษะจากความเครียดที่ดื้อต่อยาแก้ปวด แพทย์อาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย (relaxation technique) จิตบำบัด การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า (TENS) การฉีดสารโบทูลิน (มีชื่อการค้า เช่น Botox) การฝังเข็ม เป็นต้น

4. ในรายที่มีอาการกำเริบ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ และแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจพิจารณาให้กินยาป้องกัน ได้แก่ อะมิทริปไทลีน,ฟลูออกซีทีน หรือ โทพิราเมต ติดต่อกันนาน 1-3 เดือน


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปวดศีรษะจากความเครียด  ควรดูแลตนเองดังนี้

    นอนหลับหรือนั่งผ่อนคลายอารมณ์สักพักหนึ่ง นวดต้นคอและขมับด้วยมือหรือทานวดด้วยยาหม่อง ประคบด้วยความร้อนหรือความเย็น
    กินยาแก้ปวด - พาราเซตามอล* หรือยาที่แพทย์แนะนำ

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดศีรษะรุนแรง เวียนศีรษะมาก อาเจียนมาก หรือมีไข้สูง
    ปวดถี่หรือปวดแรงขึ้นทุกวัน ปวดมากตอนดึกหรือเช้ามืดจนทำให้สะดุ้งตื่น
    มีอาการตาพร่ามัวไม่หาย หรือ ตาเห็นภาพซ้อน
    แขนขาชา อ่อนแรง เดินเซ หรือ ชักกระตุก
    มีความคิดฟุ้งซ่าน อารมณ์เครียดหรือซึมเศร้า หรือนอนไม่หลับ
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆที่มีการใช้ยาหรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    ดูแลตนเอง 1 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียดเป็นประจำ ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน
    อย่าคร่ำเคร่งกับการงานจนเกินไป ควรพักทำงานเป็นระยะ ๆ
    หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ถ้าทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออ่านเอกสารหนังสือ ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม ควรพักสายตาและเคลื่อนไหวหรือบริหารกล้ามเนื้อคอเป็นครั้งคราว
    อย่าปล่อยให้หิว หรือกินอาหารผิดเวลา
    ออกกำลังกายเป็นประจำ
    หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น สวดมนต์ ทำสมาธิ ฝึกโยคะ รำมวยจีน ฟังเพลง เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. ปวดศีรษะจากความเครียด ถือเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่อาจเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อย อย่างไรก็ตาม ก่อนจะวินิจฉัยโรคนี้ ควรตรวจวัดความดัน และตรวจดูอาการให้ถ้วนถี่จนแน่ใจว่าไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรงเสียก่อน

2. ปวดศีรษะจากความเครียด ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดตื้อ ๆ หนัก ๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะหรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ปวดแบบคงที่และยังทำงานได้เป็นปกติ ไม่มีอาการปวดตุบ ๆ หรือคลื่นไส้อาเจียน

ประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยที่ปวดศีรษะจากความเครียด อาจมีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน (ซึ่งจะมีอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับ) ซึ่งบางครั้งอาจแยกกันไม่ชัด หรืออาจพบร่วมกัน ก็ควรให้การรักษาแบบไมเกรนไปพร้อมกันด้วย

3. ในรายที่เป็นเนื้องอกสมองระยะแรกอาจมีอาการปวดศีรษะไม่มาก คล้ายปวดศีรษะจากความเครียดก็ได้ แต่ต่อมาจะปวดถี่ขึ้นและแรงขึ้น มักจะปวดตอนดึกหรือเช้ามืดจนทำให้สะดุ้งตื่นทุกวัน และเป็นเรื้อรัง ดังนั้นถ้าพบคนที่มีอาการปวดศีรษะในลักษณะดังกล่าว หรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

4. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หากมีอาการปวดศีรษะจากความเครียด อาจมีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น กระดูกคอเสื่อม การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ การอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น จึงควรค้นหาและแก้ไขภาวะเหล่านี้ พร้อมกันไปด้วย

5. การใช้ยาแก้ปวดในการรักษาโรคนี้บ่อยเกินไปอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะจากการขาดยา (rebound headache) ได้ จึงควรระวังอย่าใช้ยามากเกิน และควรเน้นที่การปฏิบัติตัวต่าง ๆ

6. ผู้ที่เป็นโรคปวดศีรษะจากความเครียดชนิดเรื้อรัง อาจมีสาเหตุจากโรคซึมเศร้าแฝงเร้นอยู่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูอาการของโรคซึมเศร้า และให้การรักษาภาวะนี้ร่วมไปด้วย

8
ไหว้พระ ทำบุญ 9 วัด มุกดาหาร ที่ไหนดัง ต้องตามมาไหว้เลย!

สายบุญตามเรามาเที่ยว อีสาน ที่ จังหวัดมุกดาหาร กันเร็วค่า เพราะเราจะพาไปเยือนพิกัดเสริมบุญ ไหว้พระ 9 วัด มุกดาหาร กัน นอกจากที่นี่จะมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมายแล้ว หนึ่งในนั้นก็ต้องมี วัดสวย วัดดัง ให้เราไปสักการะกัน อย่ารอช้าดีกว่า ตามไปไหว้ขอพรกันเลย!

พิกัดสายบุญ ไหว้พระ 9 วัด มุกดาหาร เที่ยวชิล เสริมบุญปัง

1. วัดภูมโนรมย์

     วัดภูมโนรมย์ หรือ วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติมุกดาหาร ทำให้สามารมองเห็นวิวของจังหวัดมุกดาหาร แม่น้ำโขง และแขวงสะหวันนะเขต ที่ สปป.ลาว ได้อย่างชัดเจน และมี พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช หรือ ปู่ศรีมุกดา รูปปั้นพญานาคชื่อดัง ที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเคารพศรัทธากันอย่างมาก ซึ่งผู้ที่มากราบไหว้พญานาคนั้น จะต้องตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเดินลอดท้องพญานาคทั้ง 7 ช่อง ที่มีความเชื่อที่แตกต่างกันไปค่ะ และยังสามารถนำผ้าแดงที่เขียนชื่อตัวเองไปผูกไว้ที่ต้นไม้รอบๆ พญานาค เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองได้อีกด้วยค่ะ

    ที่อยู่ : หมู่ 5 ตำบลนาสีนวน อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-17.00 น.

2. วัดดานพระอินทร์

     วัดดานพระอินทร์ เป็นวัดที่สวยงามไม่แพ้วัดอื่นๆ เลย ตั้งอยู่บริเวณกลางป่าที่ล้อมไปด้วยธรรมชาติสวยๆ อีกทั้งที่นี่ยังมี องค์พญานาค พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เจดีย์แก้วชัยมงคล และพระพุทธรูปต่างๆ รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อย่างเช่น ถ้ำพญานาค ที่รวมกันอยู่ที่นี่ให้เราได้สักการะขอพรและเที่ยวชมกันแบบครบเลยค่ะ   

    ที่อยู่ : ตำบลร่มเกล้า อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-20.00 น.

3. วัดพระศรีมหาโพธิ์

     วัดศรีมหาโพธิ์ เป็นวัดศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน ชาวอำเภอหว้านใหญ่ มีอายุกว่า 100 ปี บริเวณวัดสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของแม่น้ำโขงได้ ช่วงฤดูแล้งน้ำโขงจะแห้งขอด ทำให้สามารถมองเห็นเกาะแก่งกลางลำแม่น้ำโขงได้ ส่วนภายในวัดก็จะมีโบราณสถานและสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สวยงาม ทั้ง โบสถ์เก่าแก่ ที่ผสมศิลปะตะวันตก ไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส และ พระมหาเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ องค์พระขนาดใหญ่ริมน้ำโขงค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลหว้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

4. วัดมโนภิรมย์

     วัดมโนภิรมย์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นโดยช่างจากเวียงจันทน์ มีสิม หรือ พระอุโบสถ เป็นศิลปะลาวแบบเวียงจันทน์ผสมศิลปะญวนค่ะ โดยบันไดของสิมนั้นจะประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นรูปสัตว์ ที่มีลักษณะคล้ายสิงห์ พญานาค นั่นเองค่ะ รวมถึงมีแผ่นไม้แกะสลักปิดบริเวณหน้าอุดปีกนกของสิมสลักเป็นลวดลายดอกไม้สี่กลีบและลายขัดสาน ซึ่งเป็นลวดลายที่พบมากในศิลปะลาวสกุลช่างเวียงจันทน์อีกด้วยค่ะ

     ภายในสิมยังประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกปางมารวิชัย รวมไปถึง รอยพระพุทธบาท และ พระพุทธไสยาสน์ โดยพระไสยาสน์องค์นี้จะต่างจากทั่วไปคือ จะตะแคงพระไปทางซ้าย ซึ่งต่างจากพระไสยาสน์ทั่วไปที่จะตะแคงด้านขวานั่นเองค่ะ โดยวัดแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2525 ด้วยค่ะ ถือได้ว่าเป็น วัดสวย เก่าแก่ ที่ทรงคุณค่าอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลชะโนด อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

5. วัดบรรพตคีรี วัดภูก้อจ้อ

     วัดบรรพตคีรี หรือ วัดภูก้อจ้อ แห่งนี้ เป็นวัดธรรมยุตนิกาย ตั้งอยู่บน ภูก้อจ้อ นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นภูเขาที่เงียบสงบและสวยงามอย่างมากค่ะ ซึ่งวัดนี้ประดิษฐานรูปเหมือนของ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต เกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่ได้มรณภาพไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2538 แต่ก็ยังเป็นที่นับถือของชาวจังหวัดมุกดาหารมาจนถึงในปัจจุบันค่ะ รวมถึงวัดแห่งนี้ยังเป็นศาสนสถานที่เปิดให้พุทธศาสนิกชนมาปฏิบัติธรรมถือศีลภาวนากันด้วย เรียกได้ว่าเป็นวัดที่สำคัญแห่งภาคอีสานเลยทีเดียวค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลหนองสูงใต้ อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

6. วัดสองคอน

     วัดสองคอน มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ที่สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีลักษณะสวยงามแปลกตา ต่างไปจากโบสถ์คริสต์ปกติ สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานไว้รำลึกถึงคริสตศาสนิกชน 7 คนที่ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตในป่าใกล้วัดสองคอนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ โดยในวันที่ 22 ตุลาคมของทุกปี จะมีการจัดงานพิธีเฉลิมฉลองรำลึก การสถาปนาแต่งตั้งบุญราศีด้วยเช่นกัน

    ที่อยู่ : บ้านสองคอน ตำบลป่งขาม อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-17.00 น. (พิธีบูชามิสซา ทุกวันอาทิตย์ เวลา 07.00 น.)

7. พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช

      พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช ซึ่งเป็นรูปปั้นพญานาคสีขาวขนาด ตั้งอยู่ที่บริเวณ แก่งกะเบา ที่เที่ยวริมฝั่งแม่น้ำโขงของ มุกดาหาร นั่นเองค่ะ โดยเปิดให้ประชาชนได้มาเข้ามาสักการะขอพรพญาศรีภุชงค์มุกดานาคราชกันได้เลย อีกทั้งยังมีลานนักษัตร 12 ราศี และ ลานวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า ให้เดินเที่ยวชมกันเพลินๆ ด้วยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สายบุญต้องห้ามพลาดเลยค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลป่งขาม อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวัน

8. วัดศรีมงคลใต้

     วัดศรีมงคลใต้ เป็นอีกวัดเก่าแก่ของ มุกดาหาร ที่สร้างมาตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรีแล้ว ภายในพระอุโบสถก็จะประดิษฐาน พระเจ้าองค์หลวง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของทั้งชาวไทยและชาวลาว โดยน่าจะสร้างมาก่อนการตั้งเมืองมุกดาหารแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าสร้างขึ้นในสมัยใดค่ะ ขนาดของพระพุทธรูปนั้นจะมีขนาดหน้าตักกว้าง 2.20 เมตร ส่วนสูงถึงยอดพระเมาลีประมาณ 2 เมตร ใครเป็นสายบุญต้องไปสักการะไหว้เสริมสิริมงคลกันค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลในเมือง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

9. ศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง

     ศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง เป็นสถานที่ที่ประดิษฐานหลักเมืองเอาไว้ค่ะ ซึ่งน่าจะสร้างพร้อมๆ กับการสร้างเมืองมุกดาหารนั่นเองค่ะ แม้ว่าเมื่อก่อนนั้นจะเป็นแค่เพียงศาลไม้ แต่ต่อมาก็ได้มีการบูรณะสร้างให้เป็นศาลคอนกรีตขึ้น ซึ่งชาวเมืองมุกดาหารเชื่อกันว่าศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เอาไว้ปกปักรักษาเมืองมุกดาหารให้ร่มเย็นเป็นสุขนั่นเองค่ะ

    ที่อยู่ : 40 สองนางสถิตย์ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

9
โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 (อาร์คทูรัส) มีอะไรบ้างที่ควรรู้!

โควิดอาร์คทูรัส

ไวรัสไม่เคยแผ่ว! ล่าสุดพบผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 หรือ อาร์คทูรัส ในไทยร่วม 27 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากไวรัสที่กลายพันธุ์มักมีความสามารถในการแพร่กระจายได้เร็วกว่า และหลบภูมิต้านทานได้ดีกว่า ทำให้หลายคนเริ่มกังวลไปตาม ๆ กัน

ความแตกต่างของโควิดอาร์คทูรัส เมื่อเทียบกับโควิด-19 สายพันธุ์เดิมคือ อาร์คทูรัสเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดอาการตาแดงหรือตาอักเสบ มักพบในเด็ก หากติดเชื้อโควิดอาร์คทูรัส ผู้ป่วยจะยังคงมีอาการระบบทางเดินหายใจอย่าง ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก คัดจมูก หรือปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย เหนื่อยหอบ ท้องเสีย คล้ายกับสายพันธุ์เดิม แต่ข้อสังเกตที่เพิ่มมาคือ อาการคันตา เยื่อบุตาอักเสบ ขี้ตาเหนียว ลืมตาลำบาก

ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่าโควิดอาร์คทูรัสมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ยังคงอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ใครที่เคยเป็นโควิด-19 มาก่อนแล้ว สามารถติดซ้ำได้ หากฉีดวัคซีนแล้วก็สามารถติดเชื้อได้ แต่จะช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วย โดยเฉพาะวัคซีนรุ่นใหม่ (Bivalent Booster)

โดยโควิดอาร์คทูรัสมีระยะกักตัว 5 วัน หลังจากวันที่ 5 หากผู้ป่วยไม่มีไข้ สามารถออกจากการกักตัวได้ แต่ต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างน้อย 10 วัน ซึ่งวิธีตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วย ATK และ Real-time PCR ยังสามารถตรวจคัดกรองโควิดอาร์คทูรัสได้

ผู้เชี่ยวชาญยังคงเฝ้าระวังโควิดอาร์คทูรัสอย่างใกล้ชิด และเน้นย้ำว่าควรเข้ารับวัคซีน Covid-19 ปีละ 1 เข็ม พร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมืออย่างสม่ำเสมอ

Bivalent Vaccine วัคซีนเข็มกระตุ้น

ปัจจุบันการระบาดของโควิด-19 ได้แพร่กระจายจนเกิดการกลายพันธุ์ของไวรัสหลากหลายสายพันธุ์ แม้ยอดการติดเชื้อจะลดลงแต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยล่าสุดได้มีการนำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่ วัคซีนชนิด bivalent ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับสูง
วัคซีนชนิด bivalent คืออะไร

วัคซีนไบวาเลนต์ (bivalent) เป็นวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วย mRNA ของสายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์โอมิครอนอย่างละครึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้อนุมัติวัคซีนไบวาเลนต์ แล้วในเดือนสิงหาคมปี 2565 ทั้งของ Moderna และ Pfizer
ประสิทธิภาพของวัคซีน

ผู้ผลิตวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) และวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ได้เผยแพร่ผลการทดสอบ เมื่อเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันก่อนและหลัง คนที่ฉีดวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ไบวาเลนต์ พบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่าคนที่ฉีดวัคซีนรุ่นเก่าอย่างมีนัยยะสำคัญ

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวัคซีนชนิด bivalent สามารถป้องกันการติดเชื้อและรักษาระดับภูมิคุ้มกันในระยะยาวได้ดีแค่ไหน ยังคงต้องศึกษาทดลองเพื่อพัฒนาต่อไป เพราะไวรัสกลายพันธุ์ตลอดเวลา
ผลข้างเคียงของวัคซีน

เมื่อเปรียบเทียบระดับผลข้างเคียงของวัคซีนรุ่นใหม่ (วัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์) และรุ่นเก่า (วัคซีนสายพันธุ์เดียว) พบว่าวัคซีนรุ่นใหม่มีเปอร์เซ็นต์ผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นและมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น โดยมีอาการหลักที่เหมือนกัน ดังนี้

    อาการปวดบริเวณที่ฉีด
    อ่อนเพลีย
    ปวดศีรษะ
    ปวดกล้ามเนื้อ
    อาการบวม
    มีไข้

ใครควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น bivalent ก่อน

ปัจจุบันประเทศไทยได้เริ่มฉีดวัคซีน bivalent เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว
กลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ bivalent เข็มกระตุ้น

    บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด
    ผู้ป่วยกลุ่ม 608 คือ กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการป่วยรุนแรง อาทิ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยติดเตียง
    ประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง เช่น สัมผัสกลุ่มเสี่ยง สัมผัสนักท่องเที่ยว

ซึ่งผู้ที่สามารถฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น bivalent ต้องเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้

    รับวัคซีนโควิด 19 มาแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม
    หากฉีดเข็มที่ 3 ต้องห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือน / หากฉีดเข็มที่ 4 ต้องห่างจากเข็มที่ 3 อย่างน้อย 4 เดือน
    หากเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 มาแล้วและเคยติดเชื้อ ควรฉีดหลังติดเชื้ออย่างน้อย 6 เดือน

สรุป

แม้โควิด-19 จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง แต่การกลายพันธุ์ของโรคและการแพร่กระจายยังมีอยู่ การได้รับวัคซีนที่เหมาะสมจึงยังจำเป็นเพื่อพร้อมรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต



10
ทำไมเด็กเล็ก จึงไม่ควรเข้ารับการจัดฟันเด็ก แบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน
 
การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว โดยการจัดฟันในเด็กจะสามารถทำได้ เมื่อเด็กเริ่มมีฟันแท้ขึ้นบางส่วนในช่องปาก และมีปัญหาจนต้องมีความความจำเป็นที่ต้องได้รับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขความผิดปกติของการสบฟัน หรือตำแหน่งขากรรไกรที่ผิดปกติ

ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กและผู้ปกครองเป็นสำคัญ อีกทั้งยังต้องมีการดูแลช่องปากเป็นอย่างดี ในเรื่องของความร่วมมือในการรักษา ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากเด็กไม่มีความร่วมมือก็อาจจะทำให้การจัดฟันในเด็ก ล้มเหลวได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็กจึงแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ การจัดฟันในเด็กด้วยการใช้เครื่องมือจัดฟัน EF LINE และการจัดในเด็กแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน

ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองอาจะมีความเข้าใจว่า การจัดฟันในเด็กเล็กนั้น สามารถใช้เครื่องมือการจัดฟันได้ แต่ความจริงแล้ว การจัดฟันในเด็กเล็กนั้น เหมาะสมกับการใช้เครื่องมือ แบบ EF LINE มากกว่า ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของ ทำไมเด็กเล็ก จึงไม่ควรเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน ซึ่งอาจจะไขข้อสงสัยให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนได้ ที่กำลังสนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน
 
สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น เด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี ซึ่งเด็กที่เริ่มมีฟันแท้งอกออกมาก็สามารถที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้แล้ว และการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างฟัน โครงสร้างของใบหน้า ปรับตำแหน่งลิ้น สำหรับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันที่มีพฤติกรรมการดูดขวดนม การดูดนิ้ว ซึ่งเด็กเล็กเหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันด้วยการใช้เครื่องมือ EF LINE

เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่มีการสบฟันที่ผิดปกติได้ ซึ่งเครื่องมือ EF LINE มีลักษณะเป็นชิ้นยาง ซึ่งเด็กสามารถสวมใส่ได้อย่างง่าย สะดวกสบาย ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคืองด้วย และที่บอกว่า การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น หรือที่เรียกว่าเหล็กจัดฟัน ยังไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กที่มีอายุ 4 ปี เนื่องจาก เด็กในวัยนี้ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดูแรักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้ดีเท่าที่ควร อาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ ซึ่งถ้าหากเด็กที่มีอายุ 4 ปี มีปัญหาในเรื่องของฟัน การจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE จึงมีความเหมาะสมมากกว่า

เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเข้าใจรูปแบบและปัญหาอย่างแท้จริงขิงเด็กเสียก่อน ซึ่งทางทันตแพทย์อาจจะแนะนำให้เด็กเข้ารับการจัดฟันด้วยรูปแบบที่เหมาะสม แต่สำหรับเด็กที่เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน ก็ต้องมีการดูแลรักษาความสะอาดอย่างดี ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน จะเป็นการขจัดเชื้อโรคไปด้วย แล้วจึงแปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่ม โดยเลือกขนาดของแปรงให้เหมาะกับช่องปากและฟัน สำหรับยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุได้
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะคลินิกของเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงทำให้สามารถแนะนำหรือแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างถูกวิธีและทันตแพทย์ของเรายังสามารถช่วยประเมินปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด สามารถแนะนำวิธีการรักษา

โดยยึดหลักปัญหาฟันของเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ซึ่งการที่บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีนั้น จะเป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการในเด้กได้อย่างดีอีกด้วย เพราะเด็กจะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น

11
เตรียมพร้อมที่จะขนของด้วยทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพ บริการรถกระบะรับจ้างขนของ สระบุรี

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการขนของนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและรองรับอย่างเหมาะสม เชื่อมั่นได้ว่าการเลือกใช้ บริการรถรับจ้างขนย้ายสระบุรี ในการขนสินค้าและวัตถุดิบของคุณนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันไม่เพียงแค่เรื่องของการจัดส่งและความถูกต้องของสินค้า แต่ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในการบริการด้วย

ทีมคนขับ รถรับจ้างขนย้ายสระบุรี นี้มีความพร้อมและเต็มใจที่จะรับผิดชอบในการขนสินค้าของท่านอย่างมืออาชีพและรอบคอบ เราเข้าใจถึงความสำคัญของการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในวงการ ทีมของเรามุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดียิ่งขึ้นทุกวันรถรับจ้างขนย้ายต้นไม้

การเตรียมพร้อมที่จะขนของด้วยทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพเป็นส่วนสำคัญของบริการรถรับจ้างในสระบุรีที่มีความเชื่อถือได้ ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความรู้ความสามารถที่พร้อมที่จะทำงานในสถานการณ์ต่างๆ และมีความเข้าใจในการดำเนินงานในวงการขนสินค้าอย่างถูกต้องและมืออาชีพ

การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างแม่นยำและรวดเร็วเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้น เมื่อคุณเลือกใช้บริการรถรับจ้างของเรา คุณสามารถมั่นใจได้ว่าสินค้าของคุณจะถูกดูแลอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ โดยทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพของเราจะทำให้ทุกการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยในทุกสถานการณ์

ด้วยความคล่องตัวและการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เราพร้อมที่จะทำให้ประสบการณ์การขนสินค้าของคุณเป็นเรื่องที่สะดวกสบายและประทับใจ ขอเชิญคุณมาร่วมทางเลือกเราและพบกับบริการรถรับจ้างขนสินค้า ที่มีคุณภาพที่สูงจากทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพของเรา


การบริการรถรับจ้างในสระบุรีที่มีทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพจะมีลักษณะเด่นที่สำคัญคือ

    ความชำนาญและประสบการณ์ : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีประสบการณ์และความชำนาญในการขนสินค้าที่หลากหลายประเภท เช่น สินค้าที่ต้องการการจัดการพิเศษหรือสินค้าที่ต้องการการจัดส่งทันเวลา
    ความเชี่ยวชาญในการจัดการสินค้า : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมีความเข้าใจในการจัดการสินค้าอย่างเชี่ยวชาญ เช่น การบรรทุกและการจัดส่งสินค้าโดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
    ความปลอดภัย : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของสินค้าที่ขนส่ง และมีความระมัดระวังในการขนสินค้าอย่างมีระเบียบและปลอดภัยตลอดการขนส่ง
    ความน่าเชื่อถือ : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความสามารถในการทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างมืออาชีพ และให้บริการที่มีคุณภาพและความพึงพอใจต่อลูกค้า
    ความยืดหยุ่น : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า และสามารถให้บริการในระยะเวลาที่ต้องการ

ดังนั้น การเลือกบริการรถรับจ้างที่มีทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพที่พร้อมที่จะขนสินค้าของคุณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการตัดสินใจเลือกบริการขนส่งสินค้าในสระบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงรถรับจ้างขนของราคาถูก
การสื่อสารที่ดีของคนขับมีข้อดีอย่างไร


การสื่อสารที่ดีของคนขับรถมีข้อดีมากมายทั้งต่อลูกค้าและตนเอง

    ความเข้าใจที่ดีขึ้น : การสื่อสารที่ดีช่วยให้คนขับรถเข้าใจความต้องการและความประสงค์ของลูกค้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยปรับการบริการให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    การบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น : ความเข้าใจระหว่างคนขับรถและลูกค้าช่วยให้เป้าหมายในการขนส่งสินค้าหรือบริการสามารถบรรลุได้โดยสะดวกและตรงใจกัน
    สร้างความไว้วางใจ : การสื่อสารที่ดีช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างลูกค้าและคนขับรถ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและรักษาลูกค้า
    การแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ : การสื่อสารที่ดีช่วยในการรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะขนส่งและทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
    ความพอใจของลูกค้า : การสื่อสารที่ดีช่วยให้ลูกค้ารู้สึกถูกใจและพอใจกับการบริการของคนขับรถ ซึ่งส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้งและแนะนำบริการต่อไป
    การลดข้อผิดพลาด : การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยลดโอกาสในการเกิดความเข้าใจผิดพลาดหรือการทำงานที่ไม่ถูกต้องในการขนส่งสินค้า
    การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี : ความสามารถในการสื่อสารที่ดีช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริการขนส่งและบริษัทอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สรุปได้ว่า การสื่อสารที่ดีของคนขับรถเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับบริการขนส่งโดยรวม

คุณกำลังมองหาบริการรถรับจ้างที่น่าเชื่อถือในสระบุรีใช่ไหม? เราขอแนะนำ บริการรถรับจ้างขนย้ายสระบุรี เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้เมื่อต้องการขนส่งสินค้าหรือวัตถุดิบที่คุณสำคัญอย่างทันที!

ทีมของเราพร้อมจะเสนอบริการรถรับจ้างที่มีคุณภาพและเป็นไปตามความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าเพื่อธุรกิจหรือเการขนย้ายที่อยู่ บ้าน หอ คอนโด ขนย้ายเครื่องจักร บริการรถรับจ้างทั่วไป ทุกๆ งานขนส่งที่เราทำนั้นเราให้ความสำคัญและความสนใจในทุกขั้นตอนของการบริการรับจ้างขนของ

เรามีทีมคนขับรถรับจ้างที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ด้วยรถขนาดใหญ่และอุปกรณ์การขนส่งที่ทันสมัย เรามั่นใจว่าสินค้าของคุณจะถึงที่หมายตรงตามเวลาที่กำหนด

เมื่อเลือกใช้ บริการรถรับจ้างขนย้ายสระบุรี ของเรา คุณจะได้รับการบริการที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยในการขนส่งหรือความพอใจในการให้บริการ เราจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!

ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทีมของเราพร้อมให้บริการคุณทุกขั้นตอนของการขนส่ง มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การขนส่งที่ปลอดภัยและประทับใจกับเราได้แล้ววันนี้

12
การทำอาชีพเสริม การตลาดแบบอัตโนมัติ การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่

Marketing Automation เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจต่างๆ ต้องทำมากกว่าการหาลูกค้าใหม่ แต่ยังต้องดูแลและรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ ด้วย ระบบอัตโนมัติทางการตลาดมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าด้วยการส่งมอบการโต้ตอบแบบเฉพาะบุคคลและตรงเวลา

บทความนี้จะเจาะลึกว่าระบบอัตโนมัติทางการตลาดช่วยให้ธุรกิจต่างๆ รักษาความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับฐานลูกค้าได้อย่างไร

การตลาดแบบอัตโนมัติคืออะไร?

ระบบอัตโนมัติทางการตลาดหมายถึงการใช้ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอนการทำงานทางการตลาดให้เป็นระบบอัตโนมัติและวัดผลได้ ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านอีเมลส่วนบุคคล โฆษณาที่กำหนดเป้าหมาย การโต้ตอบบนโซเชียลมีเดีย และการติดตามผลโดยอัตโนมัติ

ระบบอัตโนมัติทางการตลาดช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร

1. การมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
ด้วยระบบอัตโนมัติทางการตลาด ธุรกิจต่างๆ สามารถส่งข้อความที่ปรับแต่งได้ตามการโต้ตอบก่อนหน้านี้ ประวัติการซื้อ และความชอบของลูกค้า แทนที่จะใช้อีเมลทั่วไป เครื่องมืออัตโนมัติช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจัดเตรียมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องที่ตรงใจลูกค้าแต่ละราย ส่งเสริมความภักดีและความไว้วางใจ

2. การสื่อสารที่สม่ำเสมอ
การสื่อสารที่สม่ำเสมอและมีความหมายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่ การตลาดแบบอัตโนมัติช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ติดต่อสื่อสารกันได้ผ่าน:
ลำดับอีเมลอัตโนมัติ (เช่น การติดตาม การแจ้งเตือน ข้อเสนอพิเศษ)
อัพเดทโปรแกรมความภักดี
แคมเปญรีทาร์เก็ตติ้งบนโซเชียลมีเดีย

3. การรักษาลูกค้าและการเปิดใช้งานใหม่
การตลาดแบบอัตโนมัติช่วยให้ธุรกิจระบุลูกค้าที่ไม่ได้ใช้งานและดึงดูดพวกเขากลับมาอีกครั้งผ่านโปรโมชัน ส่วนลด หรือข้อความส่วนตัวที่กำหนดเป้าหมายการแจ้งเตือนอัตโนมัติเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งหรือข้อเสนอวันเกิดพิเศษสามารถกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาอีกครั้ง

4. การสนับสนุนและความพึงพอใจของลูกค้าที่ได้รับการปรับปรุง
ระบบอัตโนมัติสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้โดย:
AI Chatbotsที่ให้การสนับสนุนทันที
แบบสำรวจข้อเสนอแนะอัตโนมัติเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกและปรับปรุงบริการ
ติดตามหลังการซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าพึงพอใจ

5. ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น
เครื่องมือการตลาดอัตโนมัติจะรวบรวมและวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามการมีส่วนร่วม รูปแบบการซื้อ และประสิทธิภาพของแคมเปญได้ ข้อมูลนี้จะช่วยปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดและส่งมอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

ระบบอัตโนมัติทางการตลาดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าที่มีอยู่ โดยการมอบ การโต้ตอบ ที่เป็นส่วนตัว ทันเวลา และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลธุรกิจสามารถเพิ่มความภักดีของลูกค้า เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า และขับเคลื่อนความสำเร็จในระยะยาวในที่สุด หากคุณกำลังมองหาวิธีเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณ การผสานการทำงานอัตโนมัติเข้าด้วยกันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างฐานลูกค้าที่เจริญรุ่งเรือง

13
สัญญาณเตือนโรคไต อาการแบบไหนที่ต้องสังเกต

โรคไต ถือเป็นหนึ่งในโรคอันตรายที่ใครๆ ก็กลัว เพราะนอกจากจะทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง และต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดไปตลอดจนกว่าจะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไต ดังนั้น หากเลือกได้ การดูแลป้องกันตัวเองและคนใกล้ชิดให้ห่างไกลจากโรคไตจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรทำ ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะทำให้เรารู้เท่าทันและเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คือ การหมั่นสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือนโรคไต ให้เป็น นั่นเอง

 
อาการแบบไหนที่เป็นสัญญาณเตือนโรคไตถามหา?

โดยปกติแล้ว ในการสังเกตอาการเตือนโรคไตนั้น จะพิจารณาได้ง่ายๆ 2 ทาง คือ สังเกตจากลักษณะของปัสสาวะที่ผิดปกติ กับสังเกตจากอาการทางร่างกายที่ผิดปกติ โดยมีรายละเอียดดังนี้

 
ลักษณะของปัสสาวะที่เป็นสัญญาณเตือนโรคไต ได้แก่

    ปัสสาวะมีเลือดปน อาการนี้เป็นสัญญาณเตือนได้หลายโรค เช่น มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ เนื้องอก ภาวะไตอักเสบที่เกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของภูมิต้านทาน อย่างโรคแพ้ภูมิตัวเองซึ่งทำให้เนื้อไตอักเสบและปัสสาวะมีเลือดปนได้ หรือถ้าไม่ได้เป็นผลมาจากโรค ก็อาจเป็นเพราะประสบอุบัติเหตุรุนแรง เช่น มีการชนหรือการกระแทกรุนแรงที่บริเวณหลัง ก็จะทำให้ไตช้ำและมีเลือดออกได้เช่นกัน
    ปัสสาวะเป็นฟอง คือภาวะที่มีโปรตีนหรือไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ โดยวิธีการสังเกตคือ เมื่อปัสสาวะแล้วให้ทิ้งช่วงสักระยะ ถ้าเป็นฟองที่เป็นสัญญาณเตือนโรคไต ฟองจะไม่หายไป จะเป็นเหมือนฟองเบียร์ที่ติดคาแก้ว แต่ถ้าหลังปัสสาวะแล้วฟองหายไป ถือว่าเป็นภาวะปกติ
    ปัสสาวะน้อย ซึ่งจำเป็นต้องเทียบจากพฤติกรรมการปัสสาวะแต่เดิมของเราเป็นหลัก โดยหากพบว่าแม้จะดื่มน้ำมากแล้วแต่ก็ยังปัสสาวะน้อยอยู่ ก็ชวนให้สงสัยว่าอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะไตเสื่อม หรืออาจมีภาวะอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะได้
    ปัสสาวะบ่อยเกินไป โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน หากหลับไปแล้วแต่ต้องลุกตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกคืนละหลายๆ ครั้ง หรือ 3-4 รอบขึ้นไปก็จะถือว่าผิดปกติ เพราะหากไตอยู่ในภาวะปกติโดยธรรมชาตินั้น เมื่อเราหลับไปแล้วจะไม่มีการตื่นเพื่อลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก แต่จะตื่นในตอนเช้าและปัสสาวะในช่วงเช้าของวันเลยทีเดียว

 
อาการผิดปกติทางร่างกายที่อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคไต ได้แก่

    ความดันโลหิตสูงมาก โดยในผู้สูงอายุที่เป็นความดันโลหิตสูงทั่วไป ส่วนใหญ่เมื่อทานยาแล้วจะควบคุมความดันได้ดี แต่หากเป็นภาวะความดันสูงจากโรคไตเสื่อม แม้จะทานยาแล้วความดันก็จะยังคงสูงอยู่ หรือในกรณีคนที่อายุน้อยๆ แต่วัดความดันแล้วพบว่าอยู่ในระดับสูง ก็ชวนสงสัยว่าอาจเป็นผลมาจากภาวะไตเสื่อม
    อาการบวมน้ำ โดยอาการบวมที่มีผลมาจากโรคไตนั้น จะมีลักษณะคือบวมตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าหลังตื่นนอน จุดที่บวมได้มากที่สุดคือช่วงล่าง เพราะน้ำจะไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ หรือในบางกรณีที่พบว่าบวมได้ก็คือ บวมที่เปลือกตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีลักษณะยืดหยุ่นที่น้ำจะไปรวมตัวอยู่ได้ง่าย หรือในกรณีของผู้ชาย ก็อาจพบการบวมน้ำบริเวณถุงอัณฑะได้เช่นกัน ในภาพรวมคือ ผิวหนังส่วนไหนที่ยืดหยุ่นที่สุดก็จะมีโอกาสเกิดการบวมน้ำบริเวณนั้นได้ ทั้งนี้ การบวมน้ำที่เป็นผลมาจากภาวะโรคไตจะต้องเป็นการบวมในลักษณะสมมาตร คือบวมทั้ง 2 ข้าง เช่น บวมที่ขาก็ต้องบวมทั้ง 2 ข้าง แต่หากพบการบวมแค่ข้างใดข้างหนึ่ง อาจเป็นผลมาจากการอักเสบเฉพาะตำแหน่งหรือเส้นเลือดอุดตันมากกว่า
    ปวดหลัง ปวดเอว จะเป็นสัญญาณเตือนของโรคกรวยไตอักเสบ มีการอักเสบติดเชื้อ หรือมีนิ่ว มีเนื้องอกอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะ แต่ถ้าเป็นโรคไตเสื่อมจะไม่มีอาการปวด คนไข้ที่มีอาการปวดหลังส่วนใหญ่ อาจปวดจากกระดูกหรือกล้ามเนื้อซึ่งไม่ใช่โรคที่เกี่ยวกับไตเลยก็ได้ โดยวิธีสังเกตและจำแนกอาการปวด คือ ถ้าเป็นการปวดหลังจากกระดูกหรือกล้ามเนื้อจะมีบางท่าที่สบาย ไม่ปวด เช่น นอนตะแคงแล้วไม่ปวด แต่พอขยับจะรู้สึกปวด ส่วนในกรณีของการปวดที่เกิดจากความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นมีนิ่ว มีเนื้องอกในไต กรวยไตอักเสบนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนก็มักจะปวดตลอดเวลา

 
อาการแบบไหนที่เข้าสู่โรคไตในภาวะวิกฤต ?

ความผิดปกติของปัสสาวะและอาการผิดปกติทางร่างกายที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่บอกให้ชวนสงสัยได้ว่า ผู้ที่กำลังมีอาการเหล่านี้เป็นผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคไตอยู่ แต่ทั้งนี้ หากพบความผิดปกติดังกล่าวร่วมกับมี อาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ร่างกายซีดเซียว และเบื่ออาหาร ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกได้ว่า ไตของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว ควรรีบเข้ามาพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาทันที

ซึ่งสำหรับโรคไต รวมถึงโรคแทบทุกชนิดนั้น ยิ่งสังเกตอาการได้เร็วมากเท่าไหร่ รู้เร็วมากแค่ไหน โอกาสที่จะรักษาหายหรืออาการทุเลาลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเจ็บตัวมาก ไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย

14
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


15
จัดฟันบางนา: อาหารที่คนจัดฟัน ควรหลีกเลี่ยง

การรับประทานอาหาร ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการดำรงชีวิตของคนเรา ต้องบอกว่าการรับประทานอาหารนั้น ก็มีคนบางกลุ่มที่จะต้องระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหารนั่นก็คือ ผู้ที่เข้ารับการจัดฟัน เพราะผู้ที่เข้ารับการจัดฟันส่วนใหญ่มักจะต้องเจอปัญหาในการรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการบดเคี้ยวอาหารที่อาจจะทำได้ไม่สะดวกมากนัก

เนื่องจากผู้เข้ารับการจัดฟันนั้น มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งอาจจะทำให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ยาก และมีข้อจำกัดในการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ จะต้องระมัดระวังในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันที่อาจจะหลุดได้ขณะรับประทานอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากเราเผลอกลืนเครื่องมือการจัดฟันลงไป ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจึงต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษค่อยๆเคี้ยว ค่อยๆกลืนเพื่อที่จะได้ระมัดระวังในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน

นอกจากนี้อาหารของผู้เข้ารับการจัดฟันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องเลือกรับประทานให้ถูกวิธีและเหมาะสมมากที่สุด หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความแข็ง ความเหนียว เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เครื่องมือการจัดฟันหลุดหรือเกิดการหลวมได้ บางครั้งอาจจะงอจนกระทั่งทำให้เกิดบาดแผลภายในช่องปากได้

และในวันนี้ราจะมาพูดถึงอาหารที่ผู้เข้ารับการจัดฟันควรจะหลีกเลี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้วสำหรับใครที่เข้ารับการจัดฟันนั้นก็ต้องจะยอมรับว่าในการรับประทานอาหารนั้นมีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงว่าอาหารอะไรที่ไม่ควรรับประทานเพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเราได้

สำหรับอาหารประเภทแรกเลยก็คือ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้เข้ารับการจัดฟันควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความแข็ง เหนียว เช่น ถั่ว มันฝรั่ง ข้าวโพดคั่ว ปลาหมึกย่าง เพราะอาหารเหล่านี้ อาจจะทำให้เหล็กจัดฟันเกิดความเสียหายได้ ต่อมาคือ อาหารจำพวก หมากฝรั่ง ลูกอม ที่มีความเหนียว เพราะเมื่อผู้เข้ารับการจัดฟันรับประทานเข้าไปแล้วอาจจะทำให้ติดกับเหล็กและสามารถเอาออกได้ยาก ซึ่งเมื่อเรารับประทานอาหารประเภทนี้เข้าไปแล้วอาจจะทำให้ติดอยู่ในตามซอกเหล็กและเมื่อพยามดึงออก ถ้าหากไม่ระวังก็อาจทำให้เหล็กของเราหลุดออกมาพร้อมกับอาหารได้ ต่อมาก็คืออาหารประเภทผัก เช่น ผักคะน้า บล็อกโครี่ แครอท ที่ยังไม่ผ่าน กระบวนการทำให้สุกเพราะอาหารที่กล่าวมานั้น อาจจะทำให้ติดอยู่ในซอกเหล็กจัดฟันได้

แต่ถ้าหากอยากรับประทานแนะนำให้ปรุงสุกจนผักนิ่มแล้วค่อยรับประทานจะดีกว่า ต่อมาคือผลไม้ที่มีเนื้อกรอบหรือแข็ง ต้องบอกว่าผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากผู้ที่เข้ารับการจัดฟันก็ควรที่จะระมัดระวังในการรับประทานเช่น ห้ามใช้ฟันกัดที่ผลไม้โดยตรง เพราะอาจทำให้เหล็กจัดฟันของเราเกิดความเสียหายและยังส่งผลไปถึงเรื่องอีกด้วย โดยวิธีที่จะรับประทานผลไม้นั้น คือเราควรหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วค่อยรับประทาน เพื่อให้สามารถบดเคี้ยวได้ง่ายขึ้นและไม่เป็นอันตรายต่อเหงือกและเครื่องมือการจัดฟันนั่นเอง

ต่อมาคืออาหารที่ต้องกัดเช่น กระดูกหมู ซี่โครงไก่ ปลาหมึกย่าง อาหารที่มีความเหนียวมากๆ เพราะจะทำให้เหล็กจัดฟันเกิดความเสียหายได้ ซึ่งแนะนำว่าให้ใช้มือแกะเนื้อออกมาก่อนแล้วค่อยรับประทาน หรือควรงดการรับประทานอาหารชนิดนั้นไปเลยก็ได้ ต่อมาพฤติกรรมการเคี้ยวน้ำแข็ง หลายคนชอบรับประทานน้ำแข็งแต่สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแล้วการเคี้ยวน้ำแข็งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายที่เหล็กจัดฟัน ซึ่งหากใครที่ชอบอมน้ำแข็งก็สามารถทำได้หรือให้รับประทานน้ำเย็นแทน

ซึ่งในการรับประทานอาหารของคนที่เข้ารับการจัดฟันถึงแม้ว่าจะรับประทานอาหารได้ไม่หลากหลาย แต่ก็มีข้อดีก็คือจะทำให้เราเลือกรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้น นั่นก็ถือว่าเป็นข้อดีทั้งในด้านของสุขภาพช่องปากและฟันและสุขภาพร่างกายของเรา การที่เราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับร่างกายก็จะช่วยส่งผลดีให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้นั่นเอง

หน้า: [1] 2 3 ... 55